MARKETING – ดิจิมัสเกตเทียส์ | Performance Marketing Agency https://digimusketeers.co.th ตัวจริงเรื่องการตลาดออนไลน์ Fri, 26 Apr 2024 04:28:46 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.2 https://digimusketeers.co.th/wp-content/uploads/2021/02/cropped-Digi_logo_1-32x32.png MARKETING – ดิจิมัสเกตเทียส์ | Performance Marketing Agency https://digimusketeers.co.th 32 32 Creative ตำแหน่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ในวงการโฆษณา https://digimusketeers.co.th/blogs/online-marketing/creative Fri, 26 Apr 2024 04:25:58 +0000 https://digimusketeers.co.th/?post_type=blogs&p=11803 ติดต่อเรา

 

รู้ไหมว่าตำแหน่งงานอย่าง Creative หรือ ครีเอทีฟ เป็นตำแหน่งหนึ่งที่สำคัญมากกับวงการโฆษณาเลยล่ะ พูดได้เต็มปากว่าขาดไม่ได้ เพราะงานโฆษณานั้นจัดว่าเป็นงานที่ต้องใช้ความสร้างสรรค์เพื่อสร้างแตกต่าง อาจจะไม่ใช่สำคัญแค่ในวงการธุรกิจโฆษณาเท่านั้น แต่อาจสำคัญในธุรกิจสายอื่นด้วย เช่น สายงาน Event สาย Creative Production รายการทีวีและอื่น ๆ อีกมากมาย เพราะอะไร..ทำไม Creative จึงเป็นตำแหน่งที่สำคัญ ? ไปทำความรู้จักกับตำแหน่ง Creative กันและไปดูว่ามีตำแหน่งไหนที่ต้องใช้ มาเกี่ยวข้องบ้าง

Creative

Creative ทำอะไร ?

 

หลายคนที่ได้ยินคำว่า Creative ก็มักสงสัยว่าคืออะไร…ทำหน้าที่ไหน ความจริงแล้วตำแหน่ง Creative นี้มีคนนิยามไว้หลากหลายแบบ แต่ถ้าจะให้สรุปให้เข้าใจกันง่ายขึ้นเลย ตำแหน่งครีเอทีฟ คือ คนที่ทำหน้าที่เป็นผู้คิดไอเดีย ความสร้างสรรค์ลงบนผลงานให้ตอบโจทย์ในการสื่อสารหรือโจทย์ทางธุรกิจไปยังผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย เช่น ครีเอทีฟโฆษณา การโปรโมตสินค้าใหม่ คิดไอเดียคอนเซปต์งานอีเว้นท์ หรืออื่น ๆ อีกมากมาย

ตำแหน่งงาน Creative นั้นสามารถอยู่ได้หลากหลายสายธุรกิจ แต่จะมีบทบาทและความสำคัญมากในสายงานธุรกิจโฆษณา เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเติบโตไปได้ หากวงการโฆษณานั้นขาดผู้ที่ทำงานในตำแหน่งนี้ไป เราอาจจะไม่เห็นผลงานที่แหวก ฉีกหรือสร้างสรรค์แน่ ๆ เห็นแต่ความซ้ำซากจำเจ 

 

แอดไลน์เพื่อปรึกษาเราได้

ติดต่อไลน์

 

 

Creative แต่ละสายงานต่างกันอย่างไร ?

จากหัวข้อ Creative ทำอะไร ? จะเห็นแล้วว่ามันแทรกซึมอยู่ในหลายตำแหน่งและหลายสายงานมาก ๆ แต่เราจะพาทุกคนไปรู้จัก Creative ในแวดวงการตลาดกัน ซึ่งแต่ละตำแหน่งก็จะมีความในการทำงานที่แตกต่างกันออกไป จะมีตำแหน่งไหนบ้าง แล้วต่างกันอย่างไรตามไปอ่านในหัวข้อถัดไปได้เลย

อาชีพ Creative

 

อาชีพ Creative ในสายงานการตลาดมีอะไรบ้าง ?

 

Art Director

Art Director เป็นตำแหน่งที่ต้องใช้ความ Creative สูงพอสมควร เพราะตำแหน่งนี้จะเป็นคนที่ทำหน้าที่คอยจัดวางและกำกับองค์ประกอบของศิลปะในงานทั้งหมดให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าหรือโจทย์ที่ลูกค้าเป็นคนมอบหมายมาให้ เปรียบเหมือนผู้กำกับที่ต้องคอยกำกับดูแลการถ่ายทำในกองถ่ายนั่นเอง 

ต่างกันที่ตัว Art Director จะเป็นคนที่ดูแลในฝั่งของศิลปะในผลงานอย่างเจาะจง ไม่ว่าจะเป็น ฉากในงาน ดีไซน์ขององค์ประกอบต่าง ๆ ดีไซน์ภาพใหญ่ของ Artwork หรือภาพรวมคอนเซปต์ของงาน คอนเซปต์การเล่าเรื่องราว การโปรโมตและอีกมากมาย ตำแหน่งนี้จึงต้องมีความ Creative ในตัวเองที่สูง 

ส่วนความสามารถที่จำเป็นต้องมีในตำแหน่งนี้เลย คือความรู้ความเข้าใจในงานดีไซน์ และไอเดียความคิดสร้างสรรค์ที่สามารถจับสไตล์งานที่หลากหลายมาทำให้มันลงตัว และต้องสามารถเข้าใจในการตีโจทย์ของลูกค้าจนสามารถจินตนาการออกมาเป็นภาพได้ดี

Creative Content Writer

Content Writer นี่ก็เป็นอีกหนึ่งตำแหน่งที่ต้องใช้ Creative สูงเช่นกัน แต่จะใช้ในด้านการเขียน การเล่าเรื่อง ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาอย่างไรให้สร้างสรรค์ ครีเอทีฟมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์ทั่วไป บทความ คิดสโลแกน คำในภาพ คำในโฆษณาและอื่น ๆ อีกเพียบ คือต้องสื่อสารตามโจทย์ที่ลูกค้าต้องการให้สร้างสรรค์  ซึ่งปกติแล้วตำแหน่งจะทำงานร่วมกับทีมกราฟิกหรือ Art Director เพื่อช่วยกันรังสรรค์ผลงานออกมาในฉบับสมบูรณ์ กราฟิกก็ดูในฝั่งภาพว่าดีไซน์ได้ตรงตามโจทย์ของลูกค้าหรือไม่ ส่วน Content Writer ก็คอยตบงานภาพที่กราฟิกทำให้ตรงตามข้อความทำ เพื่อให้ภาพและข้อความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน 

ความสามารถที่จำเป็นในตำแหน่งนี้คือ ต้องมีทักษะในการเขียน การใช้ภาษาอย่างเชี่ยวชาญ มีความ Creative ในการเล่าเรื่อง เรียงร้อยถ้อยคำให้สวยงาม ขยันอัปเดตข่าวสารใหม่ที่จะนำมาช้ให้เข้ากับเทรนด์ความสนใจที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ รวมถึงความต้องการของผู้บริโภคตลาดไปจนถึงการสร้างประโยคที่มีอิมแพคต่อผู้ชม/ผู้อ่าน

Creative Event

หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าสายงาน Event ก็จำเป็นที่จะต้องมี Creative เหมือนกันนะ ซึ่งในสายงานนี้ Creative จะทำหน้าที่เป็นคนคิดไอเดียว่าจะจัดงานอย่างไร คอนเซปต์งานเป็นแบบไหน เพราะหลังจากดีลงานจากลูกค้ามาแล้ว คนดูแลโปรเจกต์จะต้องเป็นคนมาประสานงานกับฝ่าย Creative แล้วจะทำหน้าที่ออกแบบและหาไอเดียให้ตอบโจทย์ของลูกค้า เช่น ออกแบบกิจกรรมในงานว่าควรจะมีอะไรบ้าง การจัดวางสถานที่หรืองานโปรดักชันต่าง ๆ ควรไปอย่างไร 

Creative Producer

มาถึงในสายของ Production ก็ต้องการ Creative เหมือนกัน พวกรายการทีวี รายการวิทยุหรือรายการบนโลกออนไลน์และอีกมากมาย ทีมจะเป็นคนที่ทำหน้าที่คิดหรือหาไอเดียมากมาย ไม่ว่าจะเป็น คิดรายการว่าจะทำรายการแบบไหนที่ผู้บริโภคนั้นสนใจในช่วงเวลานั้น ๆ คิดแผนผังรายการว่าแต่ละช่วงจะมีกิจกรรมหรือดำเนินรายการอย่างไรให้ไม่น่าเบื่อ ต้องทำความเข้าใจคอนเซปต์ ตีโจทย์และทำให้เห็นภาพ เขียนสคริปต์รายการและอีกมากมายเลย

 

แอดไลน์เพื่อปรึกษาเราได้

ติดต่อไลน์

 

ดิจิมัสเกตเทียส์ เราเป็น Creative Production Agency ที่มีทีม Creative Production มากประสบการณ์ เรารับทำ Creative ในสายงานการตลาดโดยเฉพาะ

]]>
Social Media มีกี่ประเภทและสิ่งสำคัญที่คนทำแบรนด์ต้องรู้ https://digimusketeers.co.th/blogs/online-marketing/social-media Thu, 25 Apr 2024 10:40:52 +0000 https://digimusketeers.co.th/?post_type=blogs&p=11582 ติดต่อเรา

 

รู้ไหมว่าพวก Facebook, Instagram, YouTube, Twitter และอีกมากมายที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เรียกว่า Social Media เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เราใช้แชร์สิ่งที่ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันไปในโลกออนไลน์ และติดต่อสื่อสารกับคนอื่น ซึ่ง Social Media เป็นสิ่งที่คนทำแบรนด์หรือทำธุรกิจต้องทำความเข้าใจมาก ๆ และมีประโยชน์กับธุรกิจอีกด้วยถ้าเข้าใจแล้วนำมาใช้ประโยชน์กับธุรกิจเป็น ไปอ่านกันเลยว่า มีกี่ประเภท แต่ละประเภทต่างกันอย่างไรและมีประโยชน์อย่างไรในการทำธุรกิจ

 

Social Media

 

Social Media ยอดนิยมมีอะไรบ้าง ?

 

บางคนอาจจะเข้าใจว่า Social Media นั้นมีแค่ Facebook Instagram หรือ Twitter แต่ความจริงแล้วมีมากกว่านั้นนะ

Facebook

แพลตฟอร์มยุคแรก ๆ ก่อตั้งโดย มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก สามารถโพสต์สิ่งที่คุณต้องการให้เพื่อน ๆ ในโลกออนไลน์ได้ทั้งรูปภาพ วิดีโอหรือแค่ข้อความเฉย ๆ และใช้พูดคุยติดต่อสื่อสารกันระหว่างคุณและเพื่อน ๆ ได้ตลอดเวลา และยังเป็นแพลตฟอร์มที่คนใช้ทำการตลาดด้วย

Instagram

แพลตฟอร์มที่คุณสามารถแสดงความเป็นตัวเองและไลฟ์สไตล์สุดชิคผ่านรูปและวิดิโอ คนอื่นสามารถเข้ามากดติดตามคุณได้ รวมถึงคุณก็สามารถเข้าไปติดตามคนที่คุณอยากดูชีวิตและไลฟ์สไตล์ของเขาได้เช่นกัน และยังสามารถพูดคุยกับคนอื่นในโลกออนไลน์ผ่านช่องทางนี้ได้ด้วยเช่นกัน

Twitter

Community ออนไลน์ที่สามารถโพสต์ (ทวีต) สิ่งที่ตัวเองต้องการลงไป แต่จะไปเน้นไปที่ข้อความมากกว่า และเน้นความเรียลไทม์เป็นหลัก เป็นช่องทางที่ผู้คนมีไว้เสพข่าวหรือเทรนด์ต่าง ๆ เพราะช่องทางนี้มาเร็วที่สุด

YouTube

แพลตฟอร์มวิดีโอที่ครีเอเตอร์สามารถลงคลิปของตัวเองได้ และก็ยังเป็นช่องทางที่ผู้บริโภคเข้ามาเสพความเพลิดเพลินผ่านวิดีโอที่พวกเขาสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเพลง รีวิวสินค้า หรือคลิปให้ความรู้ต่าง ๆ 

TikTok

แพลตฟอร์มวิดีโอน้องใหม่มาแรงที่สุดในตอนนี้ เป็นช่องทางที่คุณสามารถครีเอทคลิปวิดีโอในสไตล์ของตัวเองได้อย่างสร้างสรรค์ มีทั้งคอนเทนต์ทั้งแบบสั้น ๆ และยาว ซึ่งเป็นช่องทางที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์อยู่เยอะมาก เพราะสามารถสร้างรายได้จากคลิปรีวิวจากร้าน อินฟลูฯ และไลฟ์สดขายของได้เร็ว

Wongnai

แหล่งคอมมูนิตี้ของคนมีไลฟ์สไตล์หลากหลาย นำเสนอคอนเทนต์รีวิวจากผู้ใช้จริงไม่ใช่อินฟลูเอนเซอร์ ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร คาเฟ่ ผับบาร์และความสวยความงามและยังมีระบบสำหรับเจ้าของธุรกิจอีกด้วย

Tumblr

แหล่งคอมมูนิตี้ที่มีการใช้งานคล้ายกับ Facebook และ Twitter แต่จะต่างกันตรงที่ Tumblr เป็น Bolg ที่สามารถรองรับไฟล์ได้หลากหลายและมีประสิทธิภาพมากกว่า แถมยังมีลูกเล่นไม่แพ้แพลตฟอร์มอื่นด้วย

Reddit

คอมมูนิตี้ในรูปแบบของเว็บบอร์ดจากอเมริกา มีหมวดหมู่แยกย่อยที่สร้างขึ้นมามากมาย ทั้งเกม ดนตรี ภาพยนตร์ เทคโนโลยีและอีกมากมาย ผู้ใช้งานสามารถโพสต์คำถามที่ตัวเองสงสัยเพื่อรอคนอื่นมาตอบได้ และยังสามารถโหวตให้กับโพสต์อื่นได้อย่างเสรีด้วยนะ

Quora

เป็นแพลตฟอร์มแบบถาม-ตอบ ทุกคนสามารถตั้งคำถามและเข้าไปตอบคำถามของคนอื่นได้อย่างอิสระ มีการจัดหมวดหมู่ไว้เหมือนกับ Reddit มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและเป็นแหล่งที่มีข้อมูลน่าเชื่อถือมากที่สุด

 

แอดไลน์เพื่อปรึกษาเราได้

ติดต่อไลน์

 

 

Social Media มีกี่ประเภท ?

 

Social Media มีทั้งหมดอยู่ 5 ประเภทใหญ่ ๆ ด้วยกัน ซึ่งแต่ละประเภทก็ไม่ได้มีลักษณะที่ตายตัว และไม่สามารถจัดอยู่ในประเภทเดียวด้วย เพราะมันสามารถเป็นได้หลายอย่างในเวลาเดียวกันนั่นเอง

1. Social Media แบบ Social Network

เป็น Social Media ประเภทที่เป็นแหล่งเชื่อมต่อผู้คนด้วยการพูดคุยแลกเปลี่ยนไอเดียต่าง ๆ และติดตามผู้ที่มีความสนใจเดียวกันหรือคล้าย ๆ กัน ยกตัวอย่างเช่น Facebook, Linkined

2. Social Media แบบ Media Network

Social Media ประเภทสำหรับแชร์คอนเทนต์ที่ดูจะเป็นมีเดียมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพและวิดีโอ และเราก็มักจะติดตามคนที่แชร์เนื้อหาที่เราชอบด้วยเช่นกัน เช่น Instagram, Youtube

3. Social Media แบบเน้น Discussions

เป็น Social Media ที่เน้นตั้ง Topic พูดคุยกันเป็นหลัก ไม่เหมือนสองแบบแรกที่เน้นการติดตาม จะเป็นการแลกเปลี่ยนความเห็นหรือทัศนคิตต่อ Topic นั้น ๆ  อย่าง Reddit, Quora หรือ Pantip 

4. Social Media แบบเน้น Reviews

Social Media ที่เน้นการรีวิวเป็นหลัก เป็นแหล่งคอมมูนิตี้ที่เหมาะสำหรับการศึกษาข้อมูลทางด้านต่าง ๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจ เช่น Wongnai, TripAdvisor หรือ Jeban

5. Social Media แบบ Micro

เป็น Social Media ประเภทที่เน้นการแชร์ข้อความสั้น ๆ มีเนื้อหาค่อนข้างหลากหลาย ส่วนใหญ่จะเป็นข้อความมากกว่าภาพหรือวิดีโอ เช่น Twitter, Tumblr

ประโยชน์ของ Social Media

ประโยชน์ของ Social Media ฉบับคนทำธุรกิจ

 

ทำ Branding

Social Media เป็นอีกช่องทางสำหรับคนทำแบรนด์สามารถเข้าไปสร้าง Branding ได้ ผ่านโลโก้ สีประจำตัว สีที่ใช้ในงานกราฟิกที่ใช้ประกอบในการทำคอนเทนต์ต่าง ๆ รวมไปถึงลักษณะของการสื่อสารจะเป็นสิ่งที่สร้างตัวตนของแบรนด์ให้ชัดเจนขึ้นได้ เมื่อผู้บริโภคเห็นบ่อย ๆ ก็จะสามารถสร้างการจดจำได้

สร้างช่องทางการขาย

การทำธุรกิจที่ดีจะต้องสร้างช่องทางการขายให้หลากหลายและเหมาะกับผู้บริโภคด้วย ซึ่งยุคนี้เป็นยุคของสื่อ Social Media มันจึงเป็นอีกช่องทางการขายที่จะทำรายได้ให้กับแบรนด์ได้ดีทางหนึ่งเลยทีเดียวล่ะ ยิ่งทำการตลาดได้ดีก็จะยิ่งเสริมให้แบรนด์ทำยอดขายดีขึ้นตามไปด้วย

Awareness และฐานลูกค้า

อีกสิ่งที่คนทำแบรนด์ควรจะดึงประโยชน์จาก Social Media ได้คือการสร้าง Awareness หรือสร้างการรับรู้และสร้างฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นที่จะได้ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่

สร้างปฎิสัมพันธ์สื่อสารกับลูกค้า

Social Media เป็นช่องทางที่ดีในการสร้างปฎิสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าได้ผ่านการทำคอนเทนต์ในรูปแบบต่าง ๆ และยังรวมถึงเป็นช่องทางการติดต่อกับลูกค้าอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาสอบถามข้อสงสัยหรือรีวิว

ดึง Traffic เข้าเว็บไซต์

แบรนด์สามารถใช้ Social Media ช่วยดึง Traffic เข้าไปยังเว็บไซต์ได้ผ่านการแปะลิงก์ในคอนเทนต์ หรือการยิงโฆษณา หากมีผู้ที่สนใจพวกเขาจะคลิกลิงก์แล้วพาไปยังหน้าเว็บไซต์ของแบรนด์นั่นเอง

 

 

แอดไลน์เพื่อปรึกษาเราได้

ติดต่อไลน์

 

 

หากคุณมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แล้วอยากใช้ Social Media ให้เป็นประโยชน์ เราช่วยคุณได้ ดิจิมัสเกตเทียส์ เราเป็นทีมนักวางกลยุทธ์การตลาดที่เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์บน Social Media เราสามารถวางกลยุทธ์และให้คำแนะนำที่เหมาะสมเพื่อช่วยให้แบรนด์ของคุณประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

]]>
Social Media คือ? รวมโซเชียลมีเดียที่ควรนำมาใช้ในธุรกิจของคุณ https://digimusketeers.co.th/blogs/online-marketing/what-is-social-media Fri, 19 Apr 2024 08:00:38 +0000 https://digimusketeers.co.th/?post_type=blogs&p=5076 ติดต่อเรา

 

ในยุคดิจิทัล การใช้ Social Media กลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลก ซึ่งแพลตฟอร์มยอดนิยมที่หลายคนรู้จักกันดี อย่าง Facebook, YouTube, Instagram, TikTok และ X (Twitter) แน่นอนว่าข้อดีของการใช้ Social Media คือเพื่อใช้ติดต่อสื่อสาร แชร์ข้อมูล ความคิดเห็น รูปภาพ วิดีโอ รวมถึงติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในมุมของคนทำธุรกิจ ช่องทางการใช้ Social Media เปรียบเสมือน เครื่องมือทรงพลัง ที่ช่วยให้เข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย สร้างการรับรู้ แบรนด์ดิ้ง กระตุ้นยอดขาย และ สร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า

 

ทำไมต้องมี social media

 

ทำไมต้องมี Social Media

เพราะ Social Media คือ เครื่องมือที่สำคัญและมีบทบาทไม่แพ้กับช่องทางการสื่อสารแบบดั้งเดิม ด้วยเหตุผลหลายประการที่ทำให้โซเชียลมีเดียเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน และนี่คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องมีโซเชียลมีเดีย

 

1. Social Media คือชุมชนออนไลน์ที่เชื่อมต่อผู้คนจากทั่วโลก

โซเชียลมีเดียช่วยให้ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องคำนึงถึงระยะทางหรือเวลา  เราสามารถติดต่อเพื่อนเก่า หาเพื่อนใหม่ สร้างกลุ่ม หรือสร้างชุมชนออนไลน์เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและความสนใจ

 

2. Social Media คือแหล่งรวมข้อมูลข่าวสาร

โซเชียลมีเดียเป็นแหล่งข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็ว ทันเหตุการณ์ รวมถึงสามารถอัปเดตได้ตลอดเวลา อีกทั้งยังเป็นแหล่งเรียนรู้ที่กว้างใหญ่  ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูล เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ หรือติดตามผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ

 

3. Social Media คือแหล่งสร้างรายได้

หากคุณเป็นครีเอเตอร์ อินฟลูเอนเซอร์ ที่มีจำนวนผู้ติดตามสูงบนโลกออนไลน์ ก็สามารถสร้างรายได้ ทั้งจากการรีวิว ขายสินค้าออนไลน์

 

4. สนับสนุนธุรกิจ

Social Media คือ แพลตฟอร์มที่คุณสามารถสื่อสารกับลูกค้าโดยตรง ตอบคำถาม แก้ไขปัญหา สร้างความสัมพันธ์ที่ดี สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ อีกทั้งธุรกิจต่าง ๆ สามารถใช้โซเชียลมีเดียเพื่อโฆษณาสินค้า บริการ หรือโปรโมชั่น เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขวาง

 

Social Media สำคัญอย่างไรกับการทำธุรกิจ

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Social Media คือ เครื่องมือที่สำคัญอย่างมากในการทำธุรกิจของคนยุคนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของกิจการเล็กหรือใหญ่ การมีการติดต่อกับลูกค้าผ่านทาง Social Media จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเพิ่มยอดขายและสร้างความรู้สึกของความมั่นใจให้กับลูกค้าได้อย่างมาก จะเห็นได้ว่าแบรนด์ทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับ Social Media Marketing มากขึ้น เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการ สร้างการจดจำแบรนด์ เพิ่มยอดขาย และสร้างปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ ซึ่งจุดแข็งที่โดดเด่นมากของ Social Media คือ สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและเห็นผลลัพธ์ในทันที

 

แอดไลน์เพื่อปรึกษาเราฟรี

ติดต่อไลน์

 

5 แพลตฟอร์ม Social Media ที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจ

สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังมองหาช่องทางที่เหมาะสมในการทำโซเชียลมีเดีย Digimusketeers ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับแพลตฟอร์ม Social Media ยอดนิยมสำหรับธุรกิจมาให้อ่านประกอบการตัดสินใจกันที่นี่แล้ว โดยอ้างอิงจาก We Are Social และ Meltwater ที่ได้รวบรวมข้อมูลการใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก และในประเทศไทยก็มีรายงานที่น่าสนใจ ที่สะท้อนถึงพฤติกรรมของผู้ใช้โซเชียลมีเดียในภาพรวม ประจำปี 2024 โดยมี 5 แพลตฟอร์ม Social Media ยอดนิยมดังนี้

 

social media ยอดนิยม

 

จากข้อมูลด้านบน จะเห็นว่าแพลตฟอร์ม Social Media ที่ยังคงได้รับความนิยม นั่นก็คือ Facebook สูงเป็นอันดับ 1 (91.5%) ตามมาด้วย Line (90.5%) และที่มาแรงสุด ๆ นั่นก็คือ TikTok ขึ้นมาอยู่ใน Top3 (83.0%) แล้วถ้าถามว่า แพลตฟอร์มไหนเข้าถึงโฆษณาได้บ้าง 5 แพลตฟอร์ม ที่เหมาะแก่การใช้ในธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น 

 

1. Facebook

แพลตฟอร์มยอดนิยมอันดับ 1 ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลกเหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการใช้เป็นเครื่องมือสื่อสาร และเชื่อมต่อกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ซึ่งข้อดีของเฟซบุ๊กในทางธุรกิจคือสมัครใช้งานง่าย สามารถใช้สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้หลายรูปแบบ และฟีเจอร์ Facebook Marketplace ยังเหมาะสำหรับใช้ขายสินค้าและบริการให้กับผู้บริโภคด้วย

 

Facebook โอกาสในสร้างธุรกิจผ่านโซเชียลมีเดีย

 

สำหรับในไทย ผู้ใช้เฟซบุ๊กส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 18 – 34 ปี สามารถเข้าถึงโฆษณาได้ถึง 49.10 ล้านคน ซึ่งโพสต์ที่ได้รับ Engagement ดีที่สุด 3 อันดับแรกคือ การโพสต์แบบสเตตัส, โพสต์แบบรูปภาพ และ โพสต์วิดีโอ 

 

2. YouTube

มาถึงแพลตฟอร์มวิดีโออย่าง YouTube กันบ้าง โซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับที่สอง สำหรับในไทย ผู้ใช้ YouTube สามารถเข้าถึงโฆษณาได้ถึง 44.20 ล้านคน ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของการใช้งาน YouTube ในทางธุรกิจคือแชร์คอนเทนต์ในรูปแบบวิดีโอเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์และเชื่อมต่อกับลูกค้า อีกทั้งยังเป็น Search Engine ที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจาก Google อีกด้วย ซึ่งการที่ธุรกิจสร้างช่อง YouTube ขึ้นมาก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแบรนด์ได้กว้างขึ้นอีกด้วย

 

3. Line

Line แพลตฟอร์มแชทที่ได้รับความนิยมในไทยอย่างมากเป็นอันดับ 3 มีจำนวนผู้ใช้งานกว่า 54 ล้านคน สำหรับธุรกิจที่ต้องการใช้ Line เพื่อเชื่อมต่อกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ก็สามารถทำได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Open Chat, การแจกสติ๊กเกอร์ฟรี, โปรโมชั่นส่งเสริมการขายผ่านการสะสมแต้ม เป็นต้น

 

TikTok โอกาสในสร้างธุรกิจผ่านโซเชียลมีเดีย

 

4. TikTok

จากอดีตที่เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้น แต่ปัจจุบัน TikTok คืออีกหนึ่งแพลตฟอร์มมาแรงอย่างมาก สำหรับในไทย ผู้ใช้ TikTok สามารถเข้าถึงโฆษณาได้ถึง 44.38 ล้านคน ซึ่งคลิป TikTok เน้นความบันเทิงและการเล่าเรื่องอย่างสร้างสรรค์ ทำให้ครีเอเตอร์ เซเลบคนดัง รวมถึงแบรนด์สินค้าต่าง ๆ หันมาใช้แพลตฟอร์มนี้มากขึ้น ไม่เพียงเท่านี้ TikTok ยังออก TikTok For Business มาให้ใช้ปลุกปั้นแบรนด์กันอีกทางหนึ่งด้วย ธุรกิจไหนที่กำลังมองหาเครื่องมือกระตุ้นการรับรู้แบรนด์และสร้างภาพจำให้กับแบรนด์ หรือต้องการเพิ่มการมีส่วนร่วมและสร้างความผูกพันกับแบรนด์ TikTok For Business ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง

 

5. Instagram

ต่อกันที่ Instagram แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยเฉพาะใครก็ตามที่ชอบแชร์รูปภาพ สำหรับในไทย ผู้ใช้ Instagram สามารถเข้าถึงโฆษณาได้ถึง 18.75 ล้านคน แล้วถ้าถามว่า กลุ่มคนที่ใช้ Instagram นั้นคือใคร ก็ต้องโฟกัสไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่เป็นหลัก เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ผ่านรูปภาพสวย ๆ วิดีโอสั้นไม่เกิน 90 วินาที (Reels) รวมถึง Story นอกจากนี้ อินสตาแกรมยังมีส่วนช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ (โปรไฟล์เพื่อธุรกิจ) และมีการติดตามผลวิเคราะห์ข้อมูล (Instagram’s Analytics) ของผู้ติดตามและโพสต์ได้ด้วย

 

โอกาสในสร้างธุรกิจผ่านแพลตฟอร์ม X

 

นอกจาก 5 แพลตฟอร์ม Social Media ที่แนะนำให้ใช้ สำหรับใครก็ตามที่เป็นเจ้าของธุรกิจ ยังมีอีกหลายแพลตฟอร์มที่น่าสนใจอย่าง X หรือที่หลายคนคุ้นในชื่อเดิมนั่นคือ Twitter เป็นแพลตฟอร์มโพสต์ข้อความที่มีการจำกัดความยาวที่ 280 ตัวอักษร และโพสต์คลิปได้สูงสุด 2.20 นาที สำหรับบัญชีปกติ และถ้าต้องการโพสต์ข้อความ หรือ คลิปที่ยาวกว่านี้ ก็มีฟีเจอร์ Twitter Blue ที่จะมีเครื่องหมายถูกสีฟ้าหลังชื่อบัญชี ข้อดีคือเอาไว้ยืนยันตัวตนว่าเป็นบัญชีจริง และมากไปกว่านั้นคือหากสมัคร Twitter Blue สามารถทวีตได้ 4,000 ตัวอักษร โพสต์วิดีโอยาว 60 นาที สำหรับในไทย ผู้ใช้ X สามารถเข้าถึงโฆษณาได้ถึง 14.68 ล้านคน

 

แอดไลน์เพื่อปรึกษาเราฟรี

ติดต่อไลน์

 

ทั้งหมดนี้คือข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการใช้ Social Media สำหรับธุรกิจ ที่เรียกได้ว่าเป็นเครื่องมือการตลาดที่สำคัญในยุคปัจจุบันนี้ หากคุณต้องการคำแนะนำในการเพิ่มมูลค่าของธุรกิจผ่านแพลตฟอร์ม Social Media ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์ ช่วยดูแล ที่ Digimusketeers เรามีบริการ Social Media Management ที่พร้อมให้คำแนะนำ ด้วยการใช้ Social Listening วิเคราะห์ทุกขั้นตอน ดูแลทุกช่องทางการสื่อสารของแบรนด์ทุกแพลตฟอร์มให้เป็นไปตามแผน ให้เราดูแลเพจโซเชียลมีเดียอย่างครบวงจร ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี

 

บทความโดย Digimusketeers Team

สถิติอ้างอิงเนื้อหาจาก datareportal.com

]]>
5 ทริค Marketing strategy เพิ่มยอดธุรกิจให้ปัง ได้ผลจริงเพียงทำตามนี้ https://digimusketeers.co.th/blogs/5-%e0%b8%97%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%84-marketing-strategy-%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%b4%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%a2%e0%b8%ad%e0%b8%94%e0%b8%98%e0%b8%b8%e0%b8%a3%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b9%83 Thu, 18 Apr 2024 08:50:19 +0000 https://digimusketeers.co.th/?post_type=blogs&p=12077 ติดต่อเรา

 

Marketing strategy หรือ กลยุทธ์การตลาดเป็นแกนหลักของธุรกิจทุกองค์กร เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการเติบโตอย่างถูกต้อง จะเห็นได้ง่ายว่าทุกองค์กรจำเป็นต้องมี Marketing strategy เพื่อวางแผนการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ โดยในยุคปัจจุบันนี้ การทำกลยุทธ์การตลาดอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ แต่ยังจำเป็นต้องทำกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ไปด้วย สำหรับใครที่สนใจเรื่องของ Marketing strategy ในบทความนี้ เราจะมาให้ความรู้เรื่องกลยุทธ์การตลาดกันว่า คืออะไร มีอะไรบ้าง พร้อมทั้งแจก 5 ทริค Marketing strategy ที่ประสบความสำเร็จ มาฝากคุณ เพื่อเป็นแนวทางที่ดีในการประกอบธุรกิจที่สามารถประสบความสำเร็จในระยะยาวได้

Marketing strategy คืออะไร?

 

Marketing strategy มีประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างไร

 

กลยุทธ์การตลาด (Marketing strategy) คือการวางแผนและการเลือกใช้วิธีการในการตลาดอย่างมีระบบเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ทางการตลาดและเป้าหมายธุรกิจที่กำหนดไว้ กลยุทธ์ในทางการตลาดสามารถแบ่งออกเป็นกลยุทธ์ระยะสั้นและกลยุทธ์ระยะยาว โดยเลือกใช้ช่องทางการใช้สื่อต่าง ๆ ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการ เลือกวิธีการโฆษณา วางแคมเปญ และอื่น ๆ ตามเป้าหมายและจุดประสงค์ทางธุรกิจ

กลยุทธ์การตลาด 4P คืออะไร มีอะไรบ้าง?

 

marketing strategy 4p มีอะไรบ้าง

 

กลยุทธ์การตลาด 4P คือเครื่องมือพื้นฐานทางการตลาดที่มีการผสม Marketing strategy หลายอย่างเข้าด้วยกัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่นักการตลาดจำเป็นจะต้องรู้ โดยกลยุทธ์การตลาด 4P จะมีตามดังต่อไปนี้

1. กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ (Product Strategy) 

Product Strategy เป็นอีกสิ่งที่มีความสำคัญในการทำ marketing strategy เพราะกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ (Product Strategy) คือการกำหนดกลยุทธ์สำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการเป็นสิ่งสำคัญที่นักการตลาดต้องพิจารณาจุดเด่นและจุดด้อยของผลิตภัณฑ์ เพื่อเน้นให้จุดเด่นเหนือจุดด้อยและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตรงจุดและมีคุณค่าที่เหนือกว่าธุรกิจคู่แข่ง 

2. กลยุทธ์ราคา (Price Strategy) 

กลยุทธ์ราคา (Price Strategy) เป็นการกำหนดราคาให้เหมาะสมกับต้นทุนและคุณค่าของผลิตภัณฑ์ โดยนักการตลาดต้องดูว่าราคาที่กำหนดนี้ลูกค้าพร้อมจ่ายเงินได้หรือไม่

3. กลยุทธ์ช่องทางการจัดจำหน่าย (Place Strategy) 

กลยุทธ์ช่องทางการจัดจำหน่าย (Place Strategy) เป็นการวางกลยุทธ์ในการเลือกช่องทางการจัดจำหน่ายเพื่อให้สินค้าหรือบริการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากที่สุด ในการทำ marketing strategy นั้นนักการตลาดต้องศึกษากลยุทธ์นี้และเรียนรู้เกี่ยวกับช่องทางการตลาดออนไลน์ด้วย เนื่องจากสภาวะของโลกออนไลน์มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

4. กลยุทธ์ส่งเสริมการขาย (Promotion Strategy) 

คือกลยุทธ์ในการสร้างความน่าสนใจและสร้างความต้องการให้ลูกค้าเพื่อเพิ่มยอดขาย นักการตลาดต้องวางแผนกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ โปรโมชั่นการลดราคาหรือแถมสินค้า ฯลฯ

 

 

แอดไลน์เพื่อปรึกษาเราฟรี

ติดต่อไลน์

 

 

กลยุทธ์การตลาด 8P มีอะไรอีกบ้าง?

กลยุทธ์การตลาด 8P เพิ่มขึ้นมาจากกลยุทธ์ตลาด 4P เพื่อเสริมสร้างโอกาสในการประสบความสำเร็จของธุรกิจมากยิ่งขึ้น และเป็นสิ่งที่ marketing strategy ขาดไม่ได้ โดยกลยุทธ์การตลาด 8P ประกอบไปด้วย

1. Packaging Strategy (กลยุทธ์บรรจุภัณฑ์) 

Packaging Strategy (กลยุทธ์บรรจุภัณฑ์) คือการกำหนดกลยุทธ์เพื่อให้บรรจุภัณฑ์มีความสวยงามและออกแบบที่โดดเด่น เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าและเพิ่มการตัดสินใจให้กับลูกค้าในการซื้อสินค้ามากขึ้น

2. Personal Strategy กลยุทธ์บุคลากร/พนักงานขาย 

Personal Strategy (กลยุทธ์บุคลากร/พนักงานขาย) – การกำหนดกลยุทธ์เพื่อให้ทีมบุคลากรหรือทีมพนักงานขายเป็นส่วนสำคัญในการสร้างยอดขายที่ดี องค์กรควรให้ความสำคัญและเตรียมความพร้อมให้กับพนักงานขาย เช่น การฝึกอบรมให้เรียนรู้ศิลปะการขายหรือเพิ่มยอดคอมมิชชั่นเป็นแรงจูงใจ เป็นต้น

3. Public Relation Strategy (กลยุทธ์ข่าวสาร) 

การกำหนดกลยุทธ์ในการสื่อสารข่าวสารที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและสร้างทัศนคติเชิงบวกต่อสินค้าหรือบริการได้ ดังนั้นองค์การควรเน้นการนำเสนอข้อมูลเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดึงดูดความสนใจและสร้างทัศนคติเชิงบวกให้กับองค์กร ซึ่งกลยุทธ์นี้เป็นอีกหนึ่ง marketing strategy ที่ได้รับความนิยมไม่น้อยเลย

4. Power Strategy (กลยุทธ์พลัง) 

Power Strategy (กลยุทธ์พลัง) คือการสร้างอำนาจในการต่อรองเพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ที่มากที่สุด องค์กรควรใช้พลังอำนาจในการต่อรองเพื่อสร้างความคุ้มค่าและไม่ยอมรับกับเงื่อนไขที่ไม่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการต่อรองและสร้างผลประโยชน์ให้กับธุรกิจอย่างมากที่สุด

แจกทริค 5 marketing strategy ใช้ได้ผลจริง ธุรกิจประสบความสำเร็จแน่นอน

 

marketing strategy ที่เหมาะกับขายของออนไลน์

 

สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจและยังไม่มีความรู้ในเรื่อง marketing strategy วันนี้เรามีตัวอย่างกลยุทธ์การตลาดที่ประสบความสำเร็จมาแนะนำให้คุณและเพื่อน ๆ นำไปปรับใช้ในธุรกิจของตัวเอง อย่างไรก็ตาม marketing strategy เหล่านี้สามารถนำไปใช้ได้กับธุรกิจทุกประเภท และถ้าใครได้ปฏิบัติตามจะสามารถประสบความสำเร็จได้แน่นอน โดยเรามีตัวอย่างกลยุทธ์การตลาดมาแนะนำให้กับคุณ ซึ่งจะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย

1. การแจกฟรี

เป็น marketing strategy ที่ใช้ได้ผล เนื่องจากพื้นฐานของคนส่วนใหญ่มักชื่นชอบของฟรีกันอยู่แล้ว ดังนั้นจึงทำให้ธุรกิจหลายแห่งเลือกใช้การแจกฟรีเป็นกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น สำหรับวิธีการใช้กลยุทธ์การแจกฟรีนี้ง่ายมาก ๆ อย่างเช่น หากคุณมีแผนที่จะขายขนมหรือเบเกอรี่ คุณสามารถลองทำเป็นชิ้นเล็กเพื่อแจกให้คนทั่วไปได้ลองชิมฟรี หรือหากเป็นผลิตภัณฑ์ที่คุณต้องการแนะนำ คุณสามารถลองทำขนาดทดลองเพื่อแจกให้คนได้ลองใช้งานก่อน

2. การทำตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย (Social Media Marketing) 

ในยุคปัจจุบันได้รับความนิยมไม่แพ้การทำการตลาดแบบอื่น ๆ เลย เพราะพลังของโซเชียลมีเดียนั้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อสินค้าของกลุ่มลูกค้า นอกจากนี้ยังช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดอย่างมหาศาลและสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิมหลายเท่า นอกจากนี้ยังสามารถโปรโมทธุรกิจได้ตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรงได้อย่างหลากหลายเช่นการโฆษณาบนเว็บไซต์ Facebook หรือ Youtube อื่น ๆ

3. การเลือกใช้กลยุทธ์แบบบอกต่อ (Referral Marketing)

มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลให้ผู้คนตัดสินใจที่จะซื้อหรือใช้บริการนั้น ๆ โดยทั่วไปแล้วพวกเขาไม่ค่อยเชื่อคำโฆษณาต่าง ๆ แต่กลับมักเชื่อคำแนะนำและรีวิวจากเพื่อน คนรู้จัก รวมถึงคนดัง (Influencer) อีกด้วย marketing strategy นี้จึงสามารถสื่อสารไปถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงไปตรงมา และยังทำให้แบรนด์ของเรามีความน่าเชื่อถือมากขึ้นอีกด้วย

4. การร่วมพันธมิตรทางธุรกิจ

เป็น marketing strategy ที่ช่วยขยายฐานลูกค้าของเราให้เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเป็นการร่วมมือกันระหว่างสองแบรนด์ ซึ่งสองฝ่ายสามารถเป็นธุรกิจประเภทเดียวกันหรือแตกต่างกันก็ได้ และทั้งสองฝ่ายจะต้องมีเป้าหมายที่ตรงกันในทิศทางเดียวกัน ซึ่งสามารถสร้างสรรค์ความโดดเด่นที่ไม่เหมือนใครได้ เช่น ธุรกิจอาหารอาจร่วมมือกับธุรกิจเครื่องดื่ม เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่น่าสนใจและเติบโตไปพร้อมกัน

5. Influencer Marketing

คือกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ใช้ผู้มีอิทธิพล (Influencer) เพื่อโฆษณาสินค้าหรือบริการของเรา เช่น ดารา นักแสดง บล็อกเกอร์ และยูทูเบอร์ ที่มีจำนวนผู้ติดตามมาก ๆ โดยการสร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจเพื่อทำให้มีผู้ติดตามมากขึ้น สำหรับ marketing strategy นี้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างตรงไปตรงมาที่สุด และยังได้ผลลัพธ์ที่ดีอีกด้วย

 

marketing Strategy แบบบอกต่อ

 

กลยุทธ์การตลาด (Marketing Strategy) ถือว่าเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้การทำธุรกิจของคุณสำเร็จได้ โดยการจะเลือกใช้กลยุทธ์การตลาดแบบไหน ต้องดูวัตถุประสงค์และปัจจัยต่าง ๆ ด้วย เช่น ดูว่าตอนนี้มีเครื่องมือใดอยู่บ้าง สามารถเข้าถึงลูกค้าได้จากช่องทางใดบ้าง ฯลฯ จากนั้นค่อยดูว่า Marketing Strategy อันไหนที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณมากที่สุด

 

แอดไลน์เพื่อปรึกษาเราฟรี

ติดต่อไลน์

 

 

บริษัท Digimusketeers รับทำการตลาดออนไลน์อย่างครบวงจร พร้อมทั้งใช้ marketing strategy ได้อย่างตรงจุดสามารถตอบโจทย์ธุรกิจออนไลน์ได้ทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจออนไลน์ขนาดเล็กไปจนถึงธุรกิจออนไลน์ขนาดใหญ่ เราสามารถโปรโมทธุรกิจของคุณให้เป็นที่รู้จักได้อย่างแพร่หลาย เพราะเราคือนักการตลาดออนไลน์มืออาชีพที่ใช้กลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้การวางแผนธุรกิจของคุณประสบผลสำเร็จหากคุณกำลังมองหาผู้ช่วยในด้านการทำธุรกิจออนไลน์อยู่ สามารถติดต่อ Digimusketeers ได้ตลอดเวลาตามที่คุณต้องการ

 

]]>
Online Advertising คืออะไร มีกี่ประเภท ดีต่อธุรกิจอย่างไร มาดูกัน https://digimusketeers.co.th/blogs/online-advertising-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3-%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b8%81%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%a0%e0%b8%97 Thu, 18 Apr 2024 08:11:56 +0000 https://digimusketeers.co.th/?post_type=blogs&p=12369 ติดต่อเรา

 

โฆษณาออนไลน์ ในปัจจุบันมีความสะดวกสบายมากขึ้น เพราะมีการใช้โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คในการเผยแพร่และโฆษณาสินค้าหรือบริการนั่นเอง เมื่อกับอดีตก่อนที่จะใช้เพียงแค่เว็บไซต์เท่านั้น หากใช้ทั้งเว็บไซต์และโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าจะสามารถทำให้แบรนด์ต่างๆ สามารถเข้าถึงอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นในบทความวันนี้เราจะพามารู้จักกับ Online Advertising กันให้มากขึ้นว่า คืออะไร มีแบบไหนบ้าง มาดูกันเลย

 

Online Advertising คืออะไร?

 

Online Advertising คืออะไร?

 

การโฆษณาออนไลน์ หรือ Online Advertising เป็นกลยุทธ์การตลาดผ่านการนำโฆษณาบนเว็บไซต์ต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ วิธีนี้สามารถใช้ในการโฆษณาสินค้าหรือบริการโดยตรงและเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ของเราให้มีจำนวนมากขึ้นได้

ถึงแม้จะดูคล้ายกับการทำ Online PR บ้าง แต่มีความแตกต่างในเนื้อหาที่ใช้ใน Online Advertising โดย Online Advertising จะมีเนื้อหาที่สั้นและกระชับกว่า นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องกำหนดระยะเวลา รวมถึงต้องเสียค่าบริการตามเงื่อนไขของเว็บไซต์ที่เราต้องการลงโฆษณาบนนั้นด้วย

 

Online Advertising ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน มีรูปแบบไหนบ้าง?

 

Online Advertising ข้อดี

 

Online Advertising มีอยู่ด้วยกัน 5 รูปแบบ โดยแต่ละแบบมีรายละเอียดดังนี้

1. Display Advertising

Online Advertising แบบดิสเพลย์การโฆษณาแบบ Banner หรือ Pop up โดยส่วนใหญ่จะพบได้บนเว็บไซต์และบล็อกทั่วไป ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้เพื่อเปลี่ยนทิศทางความสนใจของผู้ใช้เพื่อให้พวกเขาสนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัท โดยการโฆษณาแบบรูปภาพนั้นได้รับความนิยมมากที่สุด คือ Banner หน้า Landing Page และ Pop up โฆษณาแบบดิสเพลยนั้นแตกต่างจากโฆษณาอื่นๆ ตรงที่ไม่ปรากฏในผลการค้นหา

2. Search Engine Marketing (SEM)

SEM เป็นกลยุทธ์การโฆษณาออนไลน์ที่เน้นการส่งเสริมเนื้อหาและเพิ่มการแสดงผลผ่านการค้นหาโดยใช้คำสำคัญ (Keyword) รูปแบบการทำงานของ SEM คือการเรียกค่าโฆษณาตามจริงทุกครั้งที่มีผู้คลิกโฆษณาเพื่อเข้าสู่เว็บไซต์ของพวกเขา ตัวอย่างเช่น Google Ads เป็นต้น

3. Social Media Marketing (SMM)

SMM หรือการตลาดผ่านโซเชี่ยลมีเดียเป็น Online Advertising ที่มุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมเนื้อหาและเพิ่มการแสดงผลผ่านบัญชีของ Social Media Platform ต่าง ๆ หลักการทำงานของ SMM คือการคิดราคาโฆษณาตามวัตถุประสงค์ของแคมเปญที่ผู้ลงโฆษณาต้องการ เช่น หากเราเลือกแคมเปญ Reach & Awareness โฆษณาจะเน้นไปที่การแชร์โพสต์เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายมองเห็นมากที่สุด เป็นต้น

4. Remarketing

การปรับปรุงแผนการตลาด (หรือการกำหนดเป้าหมายใหม่) เป็นรูปแบบหนึ่งของ Online Advertising ที่ดำเนินการตามวิธีที่ระบุไว้ เว็บไซต์ที่ใช้คุกกี้นี้จะติดตามผู้ใช้บนอินเทอร์เน็ตเพื่อทำการปรับปรุงแผนการตลาดใหม่ ตัวอย่างเช่น หากมีลูกค้าเข้าชมสินค้าในเว็บไซต์ของเราและออกจากเว็บไซต์ โฆษณาสินค้าของเราจะติดตามและแจ้งเตือนลูกค้าอีกครั้งโดยอัตโนมัติ

5. Video Ads

โฆษณาวิดีโอได้รับความนิยมอย่างมากและมีการขยายกลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ โฆษณาวิดีโอสามารถอธิบายและแสดงรายละเอียดของสินค้าหรือธุรกิจได้อย่างครบถ้วน อีกทั้งยังสร้างความจดจำในแบรนด์ได้อีกด้วย เนื่องจากมีสื่อภาพและเสียงซึ่งทำให้โฆษณามีความสนุกสนานและความบันเทิง

 

แอดไลน์เพื่อปรึกษาเราฟรี

ติดต่อไลน์

 

ก่อนทำ Online Advertising ต้องพิจารณาเรื่องใดบ้าง?

 

Online Advertising ต้องทำอย่างไร?

 

หากคุณต้องการทำ Online Advertising ควรต้องพิจารณาสิ่งดังต่อไปนี้

1. กลุ่มเป้าหมาย 

การรวบรวมข้อมูลของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เช่น เพศ, ช่วงอายุ, พื้นที่อาศัย, และพฤติกรรมการบริโภค เพื่อนำมาใช้ในการสร้างสื่อโฆษณาที่เกี่ยวข้องและสอดคล้องกับรูปแบบการใช้ชีวิตของกลุ่มเป้าหมายนั้น ถ้า Online Advertising ของเราสามารถเข้าถึงปัญหาหรือความต้องการของลูกค้าเป้าหมายได้ ลูกค้าก็จะคลิกเข้ามาชมโฆษณาของเราเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ

2. ตำแหน่งการแสดงโฆษณา

ตำแหน่งของโฆษณาเป็นสิ่งสำคัญ เราควรดูว่าโฆษณาจะปรากฏบนเว็บไซต์ในส่วนไหน และในแต่ละวันมีผู้เข้าชมในแต่ละตำแหน่งเท่าไร เพื่อให้เราสามารถตัดสินใจลงโฆษณาในตำแหน่งที่จะนำประโยชน์สูงสุดให้กับบริษัทตามแผนงบประมาณนั่นเอง

3. ค่าใช้จ่าย

การทำ Online Advertising ต้องมีวิธีการกำหนดค่าโฆษณาที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจคิดค่าโฆษณาตามการแสดงผล, คิดราคาตามจำนวนครั้งที่โฆษณาถูกคลิก, หรือคิดค่าเหมาเป็นรายเดือน เป็นต้น เราควรพิจารณาเงื่อนไขที่แตกต่างกันในแต่ละเว็บไซต์ว่ามีคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ และต้องพิจารณาเรื่องงบประมาณที่จะใช้ในการลงโฆษณาด้วย

4. การออกแบบโฆษณา

ควรทำการออกแบบโฆษณาให้ตรงใจกับกลุ่มเป้าหมายและมีความโดดเด่นในตำแหน่งที่เราได้เลือกลงโฆษณา ไม่ควรใส่รายละเอียดเกินไป เมื่อเป็นคลิปวิดีโอ เราควรทำการตัดต่อและถ่ายทำมีความน่าสนใจ หากเราสามารถออกแบบโฆษณาให้ตรงใจกับกลุ่มเป้าหมายได้ ธุรกิจของคุณจะเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้น

 

Online Advertising สำคัญต่อธุรกิจอย่างไร?

 

ทำไมต้องทำ Online Advertising? อาจเป็นคำถามที่นักธุรกิจสงสัยกัน โดยในหัวข้อนี้เราจะมาบอกข้อดีของการทำ Online Advertising เพื่อให้คุณทราบถึงประโยชน์ของมันและสนใจอยากจะทำมากขึ้น

 

1. ช่วยกระจายข่าวสารของสินค้า/องค์กร

Online Advertising เป็นวิธีที่เหมาะสมอย่างมากในการส่งข้อมูลข่าวสารถึงผู้บริโภคได้ครั้งละมากๆ ต่อจำนวนการเผยแพร่หนึ่งครั้ง

2. ฝ่ายขายทำงานได้สะดวกมากขึ้น

เมื่อทีมขายต้องนำสินค้าหรือบริการไปขายในสถานที่ต่าง ๆ การที่เราเคยทำการโฆษณาไปแล้วจะกลายเป็นโฆษณาที่ติดตาง่ายต่อการจดจำ และสร้างความสนใจได้ง่ายขึ้น

3. ช่วยสร้างยอดขาย

Online Advertising สามารถกระจายข้อมูลข่าวสารไปยังผู้คนได้มาก เมื่อผู้คนเห็นมากขึ้น โอกาสที่พวกเขาจะตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการก็มากขึ้นตามไปด้วย

4. ไม่จำเป็นต้องขายมากเกินไป

เมื่อสินค้าของคุณมีแต่คนรู้จัก พนักงานขายก็ไม่จำเป็นต้องเชียร์หรือสาธิตมากเกินไป

5. ทำให้แบรนด์เป็นที่น่าจดจำ

Online Advertising จะทำให้แบรนด์ของคุณเป็นที่น่าจดจำมากขึ้นจนนำไปสู่การซื้อของลูกค้า

6. ช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อ

หากเราโฆษณาได้น่าสนใจก็สามารถดึงดูดความสนใจจากลูกค้า จนพวกเขากลายเป็นลูกค้าในอนาคตได้

 

Online Advertising ช่วยธุรกิจอย่างไร

 

เพื่อให้การทำ Online Advertising ประสบความสำเร็จ จนสามารถสร้างแรงจูงใจให้กับลูกค้าได้ คุณอาจต้องพิจารณาความสำคัญของเนื้อหาที่น่าสนใจและการเลือกใช้ภาพที่มีคุณภาพ เพื่อสร้างโฆษณาที่น่าสนใจ

 

แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ทำ Advertising มากที่สุดในประเทศไทย

 

อันดับ 1: Facebook

  • ครองส่วนแบ่งการตลาดโฆษณาโซเชียลมีเดียมากที่สุดในประเทศไทย
  • เหมาะสำหรับการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย
  • มีฟีเจอร์การโฆษณาที่หลากหลาย รองรับทั้งแบบอัตโนมัติและแบบแมนนวล
  • ข้อมูลผู้ใช้ละเอียด เหมาะกับการ Targeting โฆษณาให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย

อันดับ 2: YouTube

  • แพลตฟอร์มวิดีโอที่ได้รับความนิยมสูง
  • เหมาะสำหรับการโฆษณาด้วยวิดีโอ
  • สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้าง
  • มีฟีเจอร์การโฆษณาที่หลากหลาย เช่น In-Stream Ads, Bumper Ads, Masthead Ads

อันดับ 3: Instagram

  • แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เน้นรูปภาพและวิดีโอสั้น
  • เหมาะสำหรับการโฆษณาด้วยภาพและวิดีโอที่สวยงาม น่าสนใจ
  • กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นและวัยกลางคน
  • มีฟีเจอร์การโฆษณาที่หลากหลาย เช่น Stories Ads, Feed Ads, IGTV Ads

อันดับ 4: LINE

  • แอปพลิเคชั่นแชทที่ได้รับความนิยมสูงในประเทศไทย
  • เหมาะสำหรับการโฆษณาแบบ Direct Message
  • กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นคนไทย
  • มีฟีเจอร์การโฆษณาที่หลากหลาย เช่น LINE Ads, LINE Official Account

อันดับ 5: TikTok

  • แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่ได้รับความนิยมสูง
  • เหมาะสำหรับการโฆษณาด้วยวิดีโอสั้นที่สนุกสนาน น่าสนใจ
  • กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น
  • มีฟีเจอร์การโฆษณาที่หลากหลาย เช่น In-Feed Ads, Top Banner Ads

 

แอดไลน์เพื่อปรึกษาเราฟรี

ติดต่อไลน์

 

 

ขอบคุณเนื้อหาจาก

https://godducks.com/blog/42-โฆษณาออนไลน์%20(Online%20Advertising)%20ในปัจจุบันสื่อออนไลน์ได้รับความสนใจอย่างยิ่งจากนักการตลาด

https://www.makewebeasy.com/th/blog/ads/

https://www.beprouddigitalmarketing.com/blog/online-ads/

]]>
Content Marketing คืออะไร ทำไมทุกแบรนด์ต้องทำ https://digimusketeers.co.th/blogs/online-marketing/content-marketing-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad Fri, 12 Apr 2024 02:19:16 +0000 https://digimusketeers.co.th/?post_type=blogs&p=11596 ติดต่อเรา

หากคุณมีธุรกิจของตัวเอง คุณก็ต้องทำการตลาดให้แบรนด์ตัวเอง เพื่อทำให้ผู้บริโภคนั้นรู้จักว่ามีธุรกิจนี้อยู่ที่จะนำไปสู่การทำยอดขาย ซึ่งหนึ่งในการตลาดที่คุณต้องทำก็คือการทำ Content Marketing เพราะมันคือปัจจัยสำคัญสำหรับการทำการตลาดมาก ๆ อย่างหนึ่ง และยังมีข้อดีต่อธุรกิจของคุณในระยะยาวอีกด้วย ไปทำความเข้าใจกันดีกว่าว่า Content Marketing คืออะไร มีกี่ประเภท ? พร้อมทริคการทำ Content Marketing สำหรับคนที่เพึ่งเริ่มต้นทำธุรกิจตามแบบฉบับของดิจิมัสเกตเทียส์

 

Content Marketing คือ


Content Marketing คือ
อะไร มีกี่ประเภท

Content Marketing คือการทำกลยุทธ์การตลาดในรูปแบบของคอนเทนต์ มาจากการนำเอา 2 คำมารวมกัน คำแรกคือคำว่า Content แปลว่า เนื้อหาหรือสารและคำที่สองคือคำว่า Marketing ที่แปลตรงตัวว่าการตลาด เมื่อนำมารวมกันจะได้คำว่า Content Marketing ที่หมายถึง การทำคอนเทนต์เพื่อการตลาด ซึ่งการทำการตลาดในรูปแบบของคอนเทนต์นี้จะประกอบไปด้วย การตั้งจุดประสงค์ วางแผน คิดกลยุทธ์หรือแนวการสื่อสารเพื่อให้เหมาะสมกับแบรนด์ แล้วสื่อสารไปให้ถึงผู้บริโภคที่จะเป็นกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจนั้น ๆ 

อีกนัยหนึ่งคำว่า Content ก็คือ แบรนด์ ที่แปลว่าเป็นการนำเสนอตัวตนของแบรนด์ไปยังผู้บริโภค ว่าคุณคืออะไร ธุรกิจนี้เกี่ยวกับอะไร ตัวตนของแบรนด์เป็นอย่างไร 

 

แอดไลน์เพื่อปรึกษาเราฟรี

ติดต่อไลน์

 

 

Content Marketing กับ Digital Marketing

มีบางคนอาจสงสัยว่า Content Marketing คือ Digital Marketing ไหม ? มีความเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า คำตอบคือ Content Marketing เป็นส่วนหนึ่งของการทำ Digital Marketing เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นเครื่องมือตัวหนึ่งในการทำ Digital Marketing หรือการตลาดออนไลน์ ซึ่งการทำ Content นั้นมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การให้ข้อมูลสินค้า/บริการ ให้ทริคความรู้ที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ การรีวิวหรือคอนเทนต์ไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ ทำให้ผู้บริโภคได้ทำความเข้าใจในแบรนด์และตัวสินค้าของแบรนด์มากขึ้นที่จะส่งผลไปยังการตัดสินใจซื้อของผู้บบริโภค การทำ Content Marketing ที่ดีจึงสอดคล้องกับพฤติกรรมของคนและตอบโจทย์จุดประสงค์ของแบรด์

 

8 ประเภทของการทำ Content Maketing

8 ประเภทของการทำ Content Marketing

1. Photo Content

การทำ Content Marketing แบบรูปภาพหรือ Photo Content สามารถทำได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็น Single, Album และ Infographics ตามความเหมาะสมของเนื้อหาที่จะนำเสนอ เช่น 

  • อยากชูจุดเด่นของสินค้าเพียงข้อเดียวก็สามารถทำเป็น Single ก็ได้ 
  • อยากโชว์สินค้าหลายมุมให้ผู้บริโภคได้เห็นหรืออยากโปรโมตสินค้าหลายตัวให้เลือกเป็น Album
  • อยากอธิบายข้อมูลสินค้าแบบละเอียดแต่ไม่อยากเขียนแคปชั่นยาวให้เลือกแบบ Infographics

2. Video Content

การทำ Content Marketing ผ่าน Video Content เป็นประเภทที่ได้ผลตอบรับดีมากในยุคนี้ เป็นผู้บริโภคชอบดูมากกว่าอ่าน ซึ่งคอนเทนต์รูปแบบนี้จะช่วยให้ผู้บริโภคได้เห็นสินค้าหรือบริการทุกมิติและยังกระตุ้นอารมณ์ได้มากกว่าแบบภาพ สามารถนำเสนอเรื่องราวได้มากกว่า แต่ก็มีข้อที่ท้าทายอยู่เหมือนกันนั่นก็คือจะเล่าเรื่องอย่างไรให้สนุกและทำให้ผู้ชมดูจนจบคลิปได้

3. Real Time Content

การทำ Content Marketing ที่เน้นตามกระแสหรือเรียกว่า Real Time Content ก็ได้ ข้อดีคือมันอาจจะทำให้ผู้บริโภครู้จักคุณมากขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว หากคอนเทนต์ที่คุณเผยแพร่ไปนั้นแมสขึ้นมาจนเป็นไวรัล เรียก Engagement ได้ดีมาก ๆ แต่ข้อท้าทายก็คือการจะสร้างสรรค์คอนเทนต์ตามกระแสอย่างไรให้แมสกว่าชาวบ้าน เพราะแน่นอนว่าต้องมีหลายคนที่ทำคอนเทนต์เกาะกระแส เพราะอยากให้แบรนด์ของตัวเองเป็นที่รู้จัก และยังสุ่มเสี่ยงที่จะทัวร์ลงได้ทุกเมื่อที่มีดราม่า

4. Promotion Content

อีกประเภทของการทำ Content Marketing ที่แทบจะทุกแบรนด์มักทำกันก็คือ Promotion Content เอาไว้กระตุ้นส่งเสริมการขาย ทั้งลดแลกแจกแถม เหมือนเป็นกันแจ้งข่าวสารว่าในช่วงนั้นแบรนด์มีส่วนลดที่น่าสนใจให้ลูกค้า เป็นการล่อซื้อที่ได้ผลแน่นอน และยิ่งมีการยิงโฆษณาร่วมด้วยก็จะยิ่งช่วยสร้างยอดขายได้มากขึ้น แถมยังสร้าง Engagement ให้กับเพจของคุณด้วยนะ

5. Solvable Content

การทำ Content Marketing ด้วย Solvable Content เป็นการนำเสนอข้อมูลที่มีประโยชน์กับผู้อ่านและช่วยแก้ปัญหาคลายความสงสัยให้กับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ ซึ่งจะเป็นเนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ แต่เนื้อหาจะหนักจะเบาก็แล้วแต่ เป็นการทำให้ผู้บริโภครู้จักคุณผ่านการให้ความรู้ดี ๆ กับพวกเขานั่นเอง

6. Question & Answer Content

Content Marketing แบบตั้งคำถาม-คำตอบ จากลูกค้าหรือคนที่สนใจสินค้า/บริการ ของเรา จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับพวกเขาและสร้าง Engagement ได้ดีอีกวิธีหนึ่ง นอกจากนี้ยังอาจทำให้คนที่ยังมีข้อสงสัยต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวสินค้านั้นเข้าใจมากขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้พวกเขาตัดสินใจซื้อหลังได้เห็นคอนเทนต์ก็ได้

7. Activity Content

เป็นการทำ รูปแบบของกิจกรรม ช่วยสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์กับลูกค้าได้ดีมากและยังสร้างประสบการณ์ที่ดีให้พวกเขาด้วย ซึ่งทำได้หลายแบบทั้ง เชิญชวนให้เล่นเกม เพิ่มเพื่อน กดติดตามหรือแชร์โพสต์ควบคู่ไปกับการแจกของรางวัลก็จะยิ่งช่วยให้ผู้บริโภคกลายมาเป็นลูกค้าของเราได้ง่ายขึ้น

8. Quote Content

การโพสต์ Quote ก็เป็นอีกแนวของการทำ เป็นการเอาคำพูดจากบุคลที่มีชื่อเสียงหรือจากคนทางฝั่งของแบรนด์ก็ได้ พร้อมกับแปะรูปของบุคคลนั้นที่เราเอาคำพูดเขามาด้วย คอนเทนต์ประเภทนี้จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์และผู้ที่แชร์โพสต์ในเวลาเดียวกัน มันจึงเป็นคอนเทนต์เบา ๆ ที่กระตุ้น Engegement ได้ดี

อ้างอิง https://contentmarketinginstitute.com/what-is-content-marketing/

 

แอดไลน์เพื่อปรึกษาเราฟรี

ติดต่อไลน์

 

สรุป

การทำ Content Marketing ให้สร้างสรรค์และถูกช่องทางในเวลาที่เหมาะสมนั้นช่วยให้ธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จัก เพิ่มยอดขายและสร้างการจดจำแบรนด์ได้ในระยะยาว สร้างการรับรู้ กระตุ้นยอดขาย สร้างความน่าเชื่อถือ ประหยัดค่าใช้จ่าย และตอบโจทย์ลูกค้าในยุคดิจิทัล ดิจิมัสเกตเทียส์พร้อมรับหน้าที่วางแผลกลยุทธ์การทำ Content Marketing ให้แบรนด์ของคุณกับทีมงานที่เชี่ยวชาญมีประสบการณ์กว่า 14 ปี พาให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี

]]>
Nostalgia การตลาดที่สร้างความสุขผ่านการย้อนคืนวันเก่าในอดีต https://digimusketeers.co.th/blogs/online-marketing/nostalgia Thu, 11 Apr 2024 08:00:29 +0000 https://digimusketeers.co.th/?post_type=blogs&p=9921 ติดต่อเรา

 

อาจเป็นเพราะสถานการณ์บ้านเมืองเราตอนนี้มันมีแต่เรื่องหนักหนาสาหัสที่สร้างผลกระทบในจิตใจเราได้มากเกินไป เราเครียดมากขึ้น กดดันมากขึ้นและมีความสุขน้อยลง มันเลยทำให้คนเราย้อนกลับไปคิดถึงช่วงที่มีความสุขที่เคยได้ผ่านมา อยากจะย้อนเวลากลับไปช่วงนั้นอีกครั้ง หรืออยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขในสิ่งที่เราทำพลาดไปก็เป็นได้ เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมหลายคนมักรู้สึกมีความสุขเมื่อได้เห็นสิ่งของและความทรงจำในวัยเด็ก 

สิ่งเหล่านี้ทำให้เทรนด์การตลาดที่ชื่อว่า ‘Nostalgia’ กำเนิดขึ้น มีหลายแบรนด์ทั้งเล็กและใหญ่ ได้นำเทรนด์นี้มาใช้กับตัวเอง แล้วทำยอดขายได้มากขึ้นกว่าเดิม มีกระแสตอบรับที่ดีกลับมาจากผู้บริโภค ทำให้เทรนด์ Nostalgia Marketing มาแรงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ในช่วง 3-4 ที่ผ่านมา และยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไม่มีหยุด ใครมีธุรกิจไม่ควรพลาดเทรนด์นี้ เราจะพาทุกท่านไปความรู้จักกันว่าคืออะไร เป็นกลยุทธ์แบบไหน 

Nostalgia Marketing คือ

Nostalgia Marketing คืออะไร

Nostalgia ทำไมถึงได้ถูกนิยามไว้ว่าเป็น ‘การตลาดแห่งความคิดถึง’ นั่นก็เพราะว่ามันคือกลยุทธ์การตลาดที่ให้ผู้บริโภครู้สึกคิดถึง โหยหาอดีต ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ สถานการณ์ หรือความสัมพันธ์ เน้นการขายความทรงจำที่ดีและสร้างความรู้สึกเชิงบวก ความรู้สึกถวิลหา ซึ่งเป็นการตลาดที่เข้าถึงคนได้หลายเจนเนอเรชันและยังมาได้ถูกช่วงเวลาในตอนนี้อีกด้วย ซึ่งการตลาดอย่าง Nostalgia ก็สอดคล้องกับแนวคิดจิตวิทยาที่ชื่อว่า ‘Coping Skill’ ที่เป็นวิธีการรับมือเพื่อจัดการความเครียดผ่านการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การทำสมาธิ การทำสิ่งที่ชอบและการคิดถึงช่วงเวลาที่มีความสุขในอดีต 

Nostalgia

ทำไม Nostalgia Marketing มีอิทธิพลต่อผู้บริโภค

ผลวิจัยจาก CMMU หรือวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดลที่ได้ทำการสำรวจคนจำนวน 900 คน พบว่า 

  • 91.4% รู้สึกว่าความทรงจำคือสิ่งที่มีคุณค่า
  • 73.2% คิดถึงความทรงจำเก่า ๆ ที่เคยผ่านมาในอดีต
  • 67.9% คิดว่าความทรงจำนั้นเป็นช่วงเวลาที่พวกเขามีความสุข
  • 65.9% พูดถึงความทรงจำในอดีตอยู่บ่อยครั้ง
  • 59.1% มักเล่าความทรงจำในอดีตให้คนอื่นฟัง

และยังพบอีกว่าช่วงเวลาที่อยากย้อนกลับไปมากที่สุดของคนทุกเจเนอเรชันคือช่วง ‘มัธยม’ ที่ส่วนมากมาจาก 3 เหตุผลนี้คือ 49.4% อยากกลับไปแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด, 48.5% อยากกลับไปช่วงเวลาที่มีความสุข และ 27.6% อยากกลับไปบอกสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต

  • Gen X : ชอบเพราะมัธยมเพราะได้อยู่กับเพื่อน อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องคิดอะไรมาก
  • Gen Y : ชอบเพราะในยุคนั้นยังไม่มีโซเชียลมีเดียให้เล่นแบบเด็กยุคนี้ ได้ออกไปทำกิจกรรมกับเพื่อนและคนรอบตัวได้อย่างเต็มที่
  • Gen Z : ชอบเพราะเป็นช่วงที่มีเพื่อนเยอะ ได้ใช้เวลากับเพื่อนและมีโมเมนต์การนั่งคุยกับเพื่อนหลังเลิกเรียน

ผลวิจัยเหล่านี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าการตลาดแบบ Nostalgia ถึงตอบโจทย์มากในช่วงนี้ และยังไปได้กับกลุ่มคนทุกเจเนอเรชันที่สามารถสร้างความเชื่อมโยงและทำให้คนแต่ละเจนเข้าใจกันมากขึ้น

กลยุทธ์ Nostalgia Marketing

กลยุทธ์ Nostalgia Marketing มีอะไรบ้าง?

เพราะความคิดถึงช่วยบรรเทาความเหงา ความเครียด ความกังวลและความเบื่อหน่ายได้ หากแบรนด์สามารถทำให้ผู้บริโภคเกิดความอยากซื้อสินค้าเพื่อกระตุ้นให้รู้สึกคิดถึงความทรงจำอันหอมหวานของเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำแคมเปญ PR หรือสร้าง Storytelling ได้ดีก็ถือว่าประสบความสำเร็จในการนำเอากลยุทธ์ Nostalgia มาปรับใช้

 

แอดไลน์เพื่อปรึกษาเราได้

ติดต่อไลน์

 

นอกจากงานวิจัยแล้วทางทีม CMMU ก็ได้เป็นคนคิดกลยุทธ์ Nostalgia ด้วย เพื่อให้แบรนด์และนักการตลาดนำไปปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ เรียกว่า ‘FMAM’ 

F : Flashback

การย้อนกลับไปดึงภาพความทรงจำแห่งความสุขที่หอมหวานในอดีตมาถ่ายทอดในบริบทปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น แอปพลิเคชัน Timehop สุดโด่งดังที่คอยแจ้งเตือนเรื่องราวความทรงจำของคุณบนโซเชียลมีเดียเมื่อในอดีตที่คนแห่แชร์กับเพียบ จนทาง Facebook ต้องยอมทำฟีเจอร์นี้มาแข่ง โดยสร้างปุ่ม on this day หรือ memories ให้เราได้กดเข้าไปดูสิ่งที่เคยโพสต์ไว้ในอดีต หรือ Instagram ที่มีฟีเจอร์ Story ที่โพสต์จะหายไปในเวลา 24 ชั่วโมง ซึ่งจะถูกเก็บไว้ในคลัง IG ของแต่ละคน เจ้าของบัญชีสามารถเข้าไปย้อนดูได้ทุกปีว่าในปีนั้นคุณเคยโพสต์อะไรไปใน IG Story บ้าง

M : Moment of Happiness

การดึงเอาความทรงจำที่มีความสุขเหล่านั้นกับครอบครัว เพื่อนหรือคนรักกลับมาให้พวกเขาได้สัมผัสอีกครั้ง เช่น โปรเจกต์ Deep-Nostalgia ที่ให้คุณสามารถนำเอารูปของคนที่คิดถึงหรือคนที่ไม่อยู่แล้วในปัจจุบันมาเปลี่ยนเป็นวิดีโอราวกับว่าพวกเขาได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เพียงแค่อัปโหลดรูปภาพนิ่งเข้าระบบ ระบบจะเปลี่ยนให้เป็นภาพเคลื่อนไหว และฟิลเตอร์หนึ่งใน TikTok ที่เปลี่ยนภาพนิ่งของคนที่เราโชว์ให้กล้องเห็น ฟิลเตอร์จะเปลี่ยนให้คนในรูปภาพกระพริบตาและยิ้มได้ เหมือนว่าคนในรูปนั้นกลับมามีชีวิตนั่นเอง

A : Align all sensories

เชื่อมโยงความทรงจำและ Metaverse ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 รูป สัมผัส กลิ่น เสียงและรส ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่สามารถพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ ที่ช่วยให้เราได้เข้าถึงโลกเสมือนที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากได้ ตัวอย่างเช่น TeslaGlove ที่พยายามให้เรารู้สึกถึงการสัมผัสตามในโลก Metaverse ให้ใกล้เคียงกับของจริง หรือชุด Skinetic ที่พยายามให้เรารู้สึกการสัมผัสต่าง ๆ ตามร่างกาย โดยที่ชุดจะมีเซนเซอร์คอนทำงานให้เรารู้สึก

M : Meta-experience

การใช้เทคโนโลยี Metaverse มายกระดับประสบการณ์ให้พิเศษยิ่งขึ้น อย่างการสร้าง Virtual Concert ของศิลปินมากมาย เชื่อว่าน่าจะมีหลายคนเคยผ่านมาแล้ว หรือการจัด Virtual Event ที่แบรนด์ดังเคยจัดมาก่อน หรือแม้แต่วงการ NFT แหล่งรวมงานศิลปะที่มีงาน Virtual Exhibition ให้คนได้เดินเข้าไปดูแกลอรี่จำลอง แล้วเลือกซื้อผลงาน NFT ผ่านการจ่ายเงินคริปโตได้ทันที

แบรนด์ที่ใช้ Nostalgia

ตัวอย่างแบรนด์ที่ใช้ Nostalgia Marketing

1. Coca-Cola

จัดแคมเปญในเทศกาลวันคริสต์มาสที่สื่อสารไปยังผู้บริโภคว่าการเฉลิมฉลองในช่วงเทศกาลคริสต์มาสต้องคู่กับโค้กเท่านั้น โดยได้ทำแคมเปญต่อเนื่องมากว่า 80 ปี เพื่อสร้างภาพจำให้เข้าไปอยู่ในหัวผู้บริโภคว่าเมื่อเห็นซานตาคลอสต้องมีโค้ก โดยให้โค้กอยู่ในทุกที่ของเทศกาล ไม่ว่าจะเป็นของตกแต่งต้นคริสต์มาส โปสเตอร์ซานตาคลอสถือโค้ก หรือขบวน Carnival ที่นำซานต้าไปพบเด็ก ๆ ตามสถานที่ต่าง ๆ 

2. Nintendo

แบรนด์เกมสุดโด่งดังก็ร่วมแจมด้วย นินเทนโดได้ออกแบบผลิตเครื่องเล่นเกมรุ่น NES Classic Edition และ Super NES Classic Edition คอลโซลเกมที่ได้แรงบันดาลใตมาจากคอนโซลเกมยุคเก่า ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก สร้างยอดขายได้กว่า 14 ล้านเครื่องภายในปีแรกที่เปิดตัว เป็นการพิสูจน์ว่าคนคลั่งไคล้ของเก่าขนาดไหน

3. JOOX (จูกซ์)

อุตสาหกรรมเพลงก็ตามเทรนด์ไม่แพ้กัน แม้ว่า JOOX จะเป็นแอปพลิเคชันยอดนิยมในหมู่วัยรุ่น แต่ทาง JOOX เองก็อยากเข้าถึงกลุ่มผู้ฟังที่มีอายุ 35 ปี ด้วยจึงได้ทำแคมเปญ Throwback the 90s ขึ้นมาโดยนำเพลงเก่าในยุค 90 มาให้ศิลปินรุ่นใหม่ร้อง เช่น เพลงเหนื่อยใจของ XL STEP ที่กลับมาทำใหม่โดยให้ อิ้งค์ วรันธร ร้อง หรือเพลง พูดลาสักคำ ของไมเคิล สวัสดิ์เสวี ที่นำเอากลับมาทำใหม่โดยให้ The Parkinson ร้อง เพราะอยากให้คน Gen X เข้ามาฟัง แต่กลับพบว่ามีคนรุ่นใหม่ตามมาฟังศิลปินที่ชื่นชอบด้วย

สรุปข้อดีของ Nostalgia Marketing

  • กระตุ้นความรู้สึกคิดถึงอดีต Nostalgia Marketing ช่วยให้ผู้บริโภคหวนนึกถึงความทรงจำดีๆ ในอดีต ช่วยให้รู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย และมีความสุข
  • สร้างความผูกพันทางอารมณ์กับลูกค้า การใช้ Nostalgia Marketing ช่วยให้แบรนด์สร้างความผูกพันกับลูกค้าผ่านความทรงจำร่วมกัน ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกผูกพันกับแบรนด์มากขึ้น
  • เพิ่มการจดจำแบรนด์ กลยุทธ์ Nostalgia Marketing ช่วยให้แบรนด์สร้างเอกลักษณ์และโดดเด่นจากคู่แข่ง ช่วยให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ง่ายขึ้น
  • ขยายฐานลูกค้า Nostalgia Marketing ดึงดูดลูกค้าทั้งกลุ่มเก่าและกลุ่มใหม่ กลุ่มเก่ารู้สึก nostalgic กลุ่มใหม่รู้สึกอยากลอง
  • สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ Nostalgia Marketing ช่วยให้แบรนด์ดูน่าเชื่อถือ น่าประทับใจ และมีความมั่นคง

 

แอดไลน์เพื่อปรึกษาเราได้

ติดต่อไลน์

 

เทรนด์การตลาดแห่งความคิดถึงอย่าง Nostalgia เป็นกลยุทธ์ที่น่าจะโดนใจคนยุคนี้มากเลยทีเดียว แบรนด์ไหนที่ยังไม่เคยลองเอาไปปรับใช้ พลาดไม่ได้แล้วล่ะ คุณอาจสร้างยอดขายให้กับตัวเองได้มหาศาลเพราะเทรนด์นี้ก็ได้นะ

]]>
รู้จักอินฟลูเอนเซอร์ 8 ประเภท แบรนด์ควรใช้ให้ถูกกลุ่ม https://digimusketeers.co.th/blogs/online-marketing/%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%9f%e0%b8%a5%e0%b8%b9%e0%b9%80%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%8b%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c-2 Thu, 11 Apr 2024 04:15:14 +0000 https://digimusketeers.co.th/?post_type=blogs&p=11749 ติดต่อเรา

 

ถ้าพูดถึง อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ไม่มีใครในยุคนี้ไม่รู้จักคำนี้แน่นอน แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ลึกว่านั้นมีแบ่งแยกย่อยลงไปอีก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของอินฟลูเอนเซอร์หรือประเภทอินฟลูเอนเซอร์ วันนี้เราเลยขอมาพูดในหัวข้อของอินฟลูเอนเซอร์แบบละเอียด เพื่อให้นักการตลาดหรือแบรนด์ได้ศึกษาแล้วความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อจะได้นำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์กับตัวเองในด้านการตลาดกันนะ ยิ่งเลือกถูกกลุ่มและเหมาะกับแบรนด์ของตัวเอง การใช้การตลาดอินฟลูเอนเซอร์ก็จะยิ่งช่วยให้แบรนด์คุณไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น

อินฟลูเอนเซอร์คืออะไร ?

 

อินฟลูเอนเซอร์คือ

 

อินฟลูเอนเซอร์ เป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อผู้บริโภคที่เป็นผู้ติดตามพวกเขา สามารถทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกคล้อยตามหรือมีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคนั่นเอง โดยการทำให้กลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มผู้ติดตามซื้อสินค้า/บริการ ตามอินฟลูเอนเซอร์คนนั้นผ่านการทำคอนเทนต์ในรูปแบบต่าง ๆ ตามสไตล์ของตัวเองบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นได้ทั้งศิลปิน ดารา คนที่มีชื่อเสียงหรือมีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ 

ทำไมต้องจ้างอินฟลูเอนเซอร์

  • สร้างการรับรู้แบรนด์ (Braสnd Awareness) : แน่นอนว่าอินฟลูเอนเซอร์มีผู้ติดตามเยอะอยู่แล้ว ดังนั้นการโปรโมทสินค้าผ่านอินฟลูเอนเซอร์ จะทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือ (Credibility) : ผู้คนเชื่อคำแนะนำของอินฟลูเอนเซอร์มากกว่าโฆษณา
  • กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ (Purchase Decision) : อินฟลูเอนเซอร์สามารถโน้มน้าวใจให้ผู้คนตัดสินใจซื้อ
  • สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship) : อินฟลูเอนเซอร์สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มเป้าหมาย
  • เพิ่มยอดขาย (Sales) : อินฟลูเอนเซอร์สามารถช่วยเพิ่มยอดขาย

อินฟลูเอนเซอร์แบ่งเป็น 4 กลุ่มตามจำนวนผู้ติดตาม

  1. Nano Influencer

มีผู้ติตตาม 1,000 – 10,000 คน เป็นกลุ่มที่มีค่าจ้างถูกที่สุด อาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก แต่หน้าตาดี พูดเก่ง มีสไตล์ของตัวเอง และยังเป็นกลุ่มที่ผุดขึ้นมาใหม่เรื่อย ๆ แบรนด์เล็ก ๆ มักจะเลือกใช้กลุ่มนี้ในการตลาดออนไลน์

  1. Micro Influencer

มีผู้ติดตาม 10,000 – 100,000 คน เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองถนัดจริง ๆ มีแนวทางในการครีเอทคอนเทนต์ชัดเจนแบบเฉพาะกลุ่มจึงสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายได้ตรงกลุ่ม ทำให้ผู้บริโภครู้สึกอยากซื้อสินค้าตามได้มากขึ้น

  1. Macro Influencer

มีผู้ติดตาม 100,000 – 1,000,000 คน เป็นกลุ่มที่มีความโดดเด่นในการครีเอทแนวทางคอนเทนต์ชัดเจนมาก มีความเป็นอาชีพมากกว่า สร้างการรับรู้ให้แบรนด์ได้ดีและเข้าถึงผู้บริโภคตรงกลุ่มเพราะผู้ติดตามเยอะพอสมควร เรทราคาสูงจึงเหมาะกับแบรนด์ขนาดกลาง

  1. Mega Influencer

มีผู้ติดตาม 1,000,000 คนขึ้นไป กลุ่มคนที่มีชื่อเสียง เช่น ดารา นักกีฬา นักการเมือง หรือคนดังบนโซเชียลมีเดีย เรทราคาสูงสุดจึงเหมาะกับแบรนด์ใหญ่งบเยอะ สร้างการรับรู้ได้ในวงกว้าง แต่อาจจะเจาะจงกลุ่มเป้าหมายได้ไม่ชัดเจนมากเท่า 3 กลุ่มแรก

 

แอดไลน์เพื่อปรึกษาเราได้

ติดต่อไลน์

 

อินฟลูเอนเซอร์ 8 ประเภทมีอะไรบ้าง ?

 

อินฟลูเอนเซอร์ 8 ประเภท

 

อินฟลูเอนเซอร์สาย Gamers และ Live Streamers

อินฟลูเอนเซอร์สายเกมเมอร์มักจะครีเอทคอนเทนต์ในแนว Live Stram บนแพลตฟอร์ม Twich, YouTube หรือคอนเทนต์รีวิวเกม โปรโมตเกมผ่านโซเชียลมีเดียของตัวเอง นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ประเภทเครื่องดื่ม ขนม หรือเสื้อผ้าก็สามารถมาจ้างกลุ่มนี้ทำการตลาดด้วยเช่นกัน 

แต่ส่วนมากคอนเทนต์ที่นิยมใช้กลุ่มนี้ทำการตลาดมีดังนี้

  • รีวิวเกมสไตล์ Action, First Person Shooter, Massively Multiplayer Online หรือเกมที่ใช้กลยุทธ์
  • สอนวิธีเล่นเกมเบื้องต้น 
  • แนะนำแนวทางการเล่น
  • คลิปโปรโมตสั้น ๆ เช่น ซีนเด็ดในเกม โชว์การแข่ง หรืออื่น ๆ 

อินฟลูเอนเซอร์สาย Sport และ Fitness

อินฟลูเอนเซอร์สายนี้มีคอนเทนต์ให้ครีเอทให้หลากหลายเช่นกัน เช่น การออกกำลังกายรูปแบบต่าง ๆ เช่น โยคะ พิลาทิส วิ่ง ยกน้ำหนัก หรือ Crossfit หรือเป็นไลฟ์สไตล์ของคนรักสุขภาพ แนะนำวิธีลดน้ำหนัก ลดหุ่น แนะนำเมนูสุขภาพ และกีฬาหลายแนว โดยแนวทางจะเน้นไปทางการให้แรงบันดาลใจ กระตุ้นให้คนออกกำลังกาย หรือจะเป็นแบรนด์เสื้อผ้า Gadget และอาหารเสริมสำหรับออกกำลังกายก็ได้ 

อินฟลูเอนเซอร์สาย Blogger/ Vloggers

เป็นอินฟลูเอนเซอร์สายที่มีอิทธิพลในโลกออนไลน์อันดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้ ส่วนใหญ่จึงจะอยู่ในกลุ่มที่มีผู้ติดตามเยอะอย่างกลุ่ม Macro และ Mega ซึ่งช่องทางที่นิยมครีเอทคอนเทนต์คือ YouTube Channel และบล็อกส่วนตัว บางคนก็สามารถทำคอนเทนต์ที่ใช้หลัก SEO ด้วย ผลิตคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและยังสามารถทำ Backlink กลับไปหาแบรนด์ ทำให้แบรนด์เลือกทุ่มเงินกับอินฟลูเอนเซอร์สายนี้เยอะ เพราะสร้าง Traffic และ Awareness ได้ดีให้กับแบรนด์ รวมถึงกระตุ้นยอดขายได้ดีด้วย

อินฟลูเอนเซอร์สาย Trevel

สายนี้เป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่ครีเอทคอนเทนต์เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว การเดินทางในแบบต่าง ๆ การแนะนำ ให้ความรู้ รีวิว ทั้งเรื่องเที่ยว อาหาร โรงแรม การกินหรือสายการบิน แบรนด์ไหนที่ทำธุรกิจในแวดวงนี้ ถ้าอยากทำการตลาดให้ใช้กลุ่มนี้เลย ผลตอบรับดีแน่นอน 

อินฟลูเอนเซอร์สาย Beauty

ผลสำรวจจาก Influencermarketing บอกว่า 43% ของผู้บริโภคยุคนี้มักจะติดตามอินฟลูเอนเซอร์สายความงามเยอะ เพราะมีนิยมดูแลตัวเองมากขึ้น ในส่วนของคอนเทนต์ก็จะเป็นสายดูแลผิว แต่งหน้า รีวิวสินค้าที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงพวกคลีนิกเสริมความงามต่าง ๆ แบรนด์ไหนที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้บริโภคที่ชื่นชอบเรื่องเหล่านี้ก็ให้ตรงมาจ้างอินฟลูเอนเซอร์กลุ่มนี้โลดเลย ยอดขายมาเยอะแน่นอน

อินฟลูเอนเซอร์สาย Fashion

อินฟลูเอนเซอร์ที่เน้นไปทางการครีเอทคอนเทนต์แฟชั่น เสื้อผ้าหน้าผม เครื่องประดับ กระเป๋า และยังทำคอนเทนต์ได้หลากหลายแนวทั้งรีวิวของที่ชอบ แนะนำสไตล์ที่เหมาะกับแต่ละบุคคล ซึ่งสินค้าก็มีทั้งแบรนด์ตามท้องถิ่นไปจนถึงระดับโลกเลยทีเดียว ซึ่งกลุ่มนี้มักจะทำงานโดยตรงกับแบรนด์เสื้อผ้า เช่น ทำ Hual Video ที่แนะนำผู้ติดตามว่าช่วงนี้มีสินค้าอะไรใหม่บ้าง

อินฟลูเอนเซอร์สาย Family

มักเรียกกันว่า Parenting Influencer เป็นอินฟลูเอนเซอร์สายครอบครัว แม่และเด็กที่จะครีเอทคอนเทนต์บอกเล่าเรื่องราว ประสบการณ์การเป็นพ่อแม่ การดูแลความสัมพันธ์ในครอบครัว และยังรวมไปถึงของใช้ภายในบ้านด้วย ไม่ใช่แค่สินค้าเกี่ยวกับพ่อแม่ลูกเท่านั้น หรือแบรนด์อาหารเด็กก็มี รวมไปถึงผู้สูงอายุด้วยนะ 

อินฟลูเอนเซอร์สายกิน รีวิวร้านอาหาร คาเฟ่

เป็นอินฟลูเอนเซอร์กลุ่มที่มีจำนวนเยอะมาก ๆ ในปัจจุบัน คอนเทนต์ที่ทำจะเป็นแนวรีวิว แนะนำ พวกร้านอาหาร คาเฟ่ บางครั้งก็มีแบรนด์ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับอาหารมาจ้าง 

 

หากคุณมีธุรกิจของตัวเองแล้วอยากจ้าง Influencer มาโปรโมต ดิจิมัสเกตเทียส์เราเป็น Influencer Agency ที่มีอินฟลูเอนเซอร์ให้เลือกมากมายและยังรับทำ influencer marketing อีกด้วยที่คอยให้คำแนะนำและควบคุมการทำงานทุกขั้นตอนเพื่อทำการตลาดที่มีคุณภาพ

 

แอดไลน์เพื่อปรึกษาเราได้

 

 

อ้างอิง  https://www.influencer.com/

]]>
ธุรกิจการตลาดออนไลน์ การตลาดยุคใหม่ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด https://digimusketeers.co.th/blogs/online-marketing-business Wed, 21 Feb 2024 06:44:25 +0000 https://digimusketeers.co.th/?post_type=blogs&p=13561 ติดต่อ

 

ในยุคที่ อะไร อะไร ก็ออนไลน์ การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตก็ง่ายกว่าสมัยก่อน การตลาดออนไลน์จึงกลายเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและสร้างยอดขายให้กับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการใช้โซเชียลมีเดีย เสิร์ชเอนจิน เว็บไซต์ อีเมล ล้วนแล้วแต่ช่วยส่งเสริมและจำหน่ายสินค้าหรือบริการให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจและความต้องการในสิ่งที่คุณนำเสนอ นี่จึงทำให้ ธุรกิจการตลาดออนไลน์ เติบโตอย่างก้าวกระโดด แล้วเพราะอะไรสิ่งนี้ถึงมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาธุรกิจ บทความนี้จะมาเล่าให้ฟัง

ธุรกิจการตลาดออนไลน์ ทำอะไรบ้าง

ธุรกิจการตลาดออนไลน์คือธุรกิจที่ให้บริการด้านการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ ครอบคลุมตั้งแต่การวางแผนกลยุทธ์การตลาด การสร้างและเผยแพร่เนื้อหา การทำโฆษณาออนไลน์ การวิเคราะห์ข้อมูลการตลาด และวัดผลผลลัพธ์ โดยหลักๆ แล้ว ธุรกิจการตลาดออนไลน์จะทำหน้าที่ดังนี้

 

1. วางแผนกลยุทธ์การตลาดออนไลน์

ธุรกิจการตลาดออนไลน์จะทำงานร่วมกับลูกค้าเพื่อกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการทำการตลาดออนไลน์เพื่อเพิ่มยอดขาย การสร้างความรับรู้ถึงแบรนด์ หรือการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น ประเภทธุรกิจ กลุ่มเป้าหมาย งบประมาณ และเป้าหมายทางการตลาด

 

2. วิเคราะห์ข้อมูลการตลาด

ธุรกิจการตลาดออนไลน์จะรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลการตลาดจากช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย และเครื่องมือวัดผล เพื่อประเมินประสิทธิภาพของการทำการตลาด

 

3. สร้างและเผยแพร่เนื้อหา

เนื้อหา หรือ คอนเทนต์ เป็นสิ่งสำคัญในการดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมายและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ธุรกิจการตลาดออนไลน์จะทำงานร่วมกับลูกค้าเพื่อสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย เนื้อหาที่สร้างขึ้นอาจรวมถึงบทความ วิดีโอ รูปภาพ อินโฟกราฟิก และอื่น ๆ

 

4. ทำโฆษณาออนไลน์

การทำโฆษณาออนไลน์เป็นวิธีหนึ่งในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและสร้างยอดขาย ธุรกิจการตลาดออนไลน์จะวางแผนและดำเนินการโฆษณาออนไลน์ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น โฆษณาบนเว็บไซต์ โฆษณาบนโซเชียลมีเดีย และโฆษณาบนเครื่องมือค้นหา

 

5. วัดผลผลลัพธ์

หลังจากที่เราได้ใช้เครื่องมือต่าง ๆ ไปแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เราได้ทราบถึง จำนวนผู้เข้าชม จำนวนการคลิก จำนวนยอดขาย นั่นก็คือการวัดผลลัพธ์นั่นเอง  

 

ธุรกิจการตลาดออนไลน์ที่ทำหน้าที่ครบวงจรจะให้บริการทั้ง 5 หัวข้อที่กล่าวมาข้างต้น แต่ธุรกิจการตลาดออนไลน์บางแห่งอาจให้บริการเฉพาะบางหัวข้อหรือเฉพาะบางช่องทางการตลาดเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เจ้าของธุรกิจควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจใช้บริการธุรกิจการตลาดออนไลน์

 

ประเภทของธุรกิจการตลาดออนไลน์ มีอะไรบ้าง

ธุรกิจการตลาดออนไลน์ ในปัจจุบันมีบทบาทสำคัญในการช่วยธุรกิจต่าง ๆ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและสร้างยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ ธุรกิจการตลาดออนไลน์จึงเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพสูง โดยเราสามารถแบ่งประเภทตามช่องทางการตลาดที่ให้บริการได้ดังนี้

 

ประเภทของบริการธุรกิจออนไลน์

 

1. การตลาดผ่านเว็บไซต์ (Search Engine Marketing, Search Engine Optimization)

ขอเรียกสั้น ๆ ว่า SEO และ SEM ก็แล้วกัน การตลาดผ่านเว็บไซต์เป็นการตลาดออนไลน์ที่มุ่งเน้นไปที่เว็บไซต์ โดยอาศัยเครื่องมือค้นหา (Search Engine) เป็นหลัก เป้าหมายของการตลาดผ่านเว็บไซต์คือเพื่อให้เว็บไซต์ของธุรกิจปรากฏในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหา (Search Engine Result Page, SERP) ของเครื่องมือค้นหา แบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ

 

1.1 Search Engine Marketing (SEM) 

เป็นการตลาดออนไลน์ที่อาศัยการจ่ายเงินให้กับเครื่องมือค้นหา เพื่อให้โฆษณาของธุรกิจปรากฏในผลการค้นหา

 

1.2 Search Engine Optimization (SEO

เป็นการตลาดออนไลน์ที่มุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งเว็บไซต์ เพื่อให้เว็บไซต์ของธุรกิจปรากฏในผลการค้นหาโดยธรรมชาติ (Organic Search)

 

2. การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย (Social Media Marketing)

เป็นการตลาดออนไลน์ที่มุ่งเน้นไปที่โซเชียลมีเดีย โดยอาศัยแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เช่น Facebook, Instagram, X (Twitter), YouTube และอื่น ๆ เป้าหมายของการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียคือเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ คือ

 

2.1 Social Media Content Marketing 

เป็นการตลาดออนไลน์ที่มุ่งเน้นไปที่การสร้างและเผยแพร่เนื้อหาบนโซเชียลมีเดีย

 

2.2 Social Media Advertising 

เป็นการตลาดออนไลน์ที่อาศัยการจ่ายเงินให้กับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อให้โฆษณาของธุรกิจปรากฏบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย

 

2.3 Social Media Influencer Marketing 

เป็นการตลาดออนไลน์ที่อาศัยอินฟลูเอนเซอร์บนโซเชียลมีเดีย เพื่อโปรโมทสินค้าหรือบริการของธุรกิจ

 

3. การตลาดผ่านอีเมล (Email Marketing)

เป็นการตลาดออนไลน์ที่มุ่งเน้นไปที่อีเมล โดยอาศัยการส่งอีเมลไปยังกลุ่มเป้าหมาย เป้าหมายของการตลาดผ่านอีเมลคือเพื่อสื่อสารกับลูกค้า นำเสนอสินค้าหรือบริการ และกระตุ้นให้เกิดการซื้อ หลัก ๆ จะมี Email Newsletter หรือ E-Newsletter แล้วแต่จะเรียก เน้นส่งอีเมลข่าวสารหรือข้อมูลที่น่าสนใจไปยังกลุ่มเป้าหมาย กับอีกประเภทคือ Email Marketing Campaign เป็นการตลาดออนไลน์ที่ส่งอีเมลเพื่อโปรโมทสินค้าหรือบริการของธุรกิจ

 

4. การตลาดผ่านแอปพลิเคชัน (App Marketing)

เป็นการตลาดออนไลน์ที่มุ่งเน้นไปที่แอปพลิเคชัน โดยอาศัยแอปพลิเคชันมือถือหรือเดสก์ท็อป เป้าหมายของการตลาดผ่านแอปพลิเคชันคือเพื่อเพิ่มจำนวนดาวน์โหลดและการใช้งาน

 

ธุรกิจออนไลน์เหมาะกับใคร

 

ธุรกิจการตลาดออนไลน์ เหมาะกับใคร

ธุรกิจการตลาดออนไลน์เหมาะกับผู้ประกอบการทุกประเภทที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและสร้างยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ ธุรกิจการตลาดออนไลน์สามารถช่วยผู้ประกอบการในหลาย ๆ ด้าน เช่น

 

1. เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างและลึก

การตลาดออนไลน์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างและลึกกว่าการตลาดแบบดั้งเดิม ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย และอีเมล ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจตรงกับสินค้าหรือบริการของตนได้อย่างตรงจุด

 

2. วัดผลได้แม่นยำ

การตลาดออนไลน์ช่วยให้ธุรกิจสามารถวัดผลได้อย่างแม่นยำ ทั้งในด้านของจำนวนผู้เข้าชม จำนวนการคลิก จำนวนยอดขาย ฯลฯ ช่วยให้ธุรกิจสามารถประเมินประสิทธิภาพของการทำการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

3. ต้นทุนต่ำ

การทำการตลาดออนไลน์มีต้นทุนที่ต่ำกว่าการทำการตลาดแบบดั้งเดิม ช่วยให้ธุรกิจสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มผลกำไรได้

 

 

 

นอกจากนี้ ธุรกิจการตลาดออนไลน์ยังเหมาะกับผู้ประกอบการที่มีทักษะและความรู้ด้านการตลาดออนไลน์ เช่น การออกแบบกราฟิก การสร้างเนื้อหา การเขียนคอนเทนต์ การทำโฆษณาออนไลน์ การวิเคราะห์ข้อมูลการตลาด และวัดผลผลลัพธ์ อีกด้วย ที่ Digimusketeers เรามีบริการ Content Marketing บริการการตลาดออนไลน์ผ่านการสร้างคอนเทนต์ เพิ่มมูลค่าธุรกิจและเพิ่มยอดขายให้กับแบรนด์ของคุณด้วยกลยุทธ์ Content Marketing วาง Strategy ในส่วนของคอนเทนต์ให้กับแบรนด์จากการวิเคราะห์อินไซต์ของผู้บริโภค ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริงด้วย Tools ที่ทันสมัย ใช้ Storytelling รังสรรค์คอนเทนต์ให้สนุก เป็นที่จดจำและสื่อสารตัวตนของแบรนด์ ไปยังกลุ่มเป้าหมาย ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี

]]>
การตลาดออนไลน์เพิ่มยอดขาย เทคนิคเพิ่มความปังแบบเห็นผลจริง https://digimusketeers.co.th/blogs/grow-your-business-with-online-marketing Wed, 21 Feb 2024 04:45:15 +0000 https://digimusketeers.co.th/?post_type=blogs&p=13553 ติดต่อเรา

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันอะไรก็ตามที่เป็น “ออนไลน์” ล้วนแล้วแต่มีบทบาทอย่างมากในชีวิตประจำวัน ในยุคที่เราใช้ชีวิตอยู่บนโลกออนไลน์มากขึ้น การตลาดออนไลน์จึงกลายเป็นช่องทางสำคัญในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจต่าง ๆ มากมาย แต่การที่เราจะประสบความสำเร็จในการทำการตลาดออนไลน์ไม่ใช่เรื่องง่าย ธุรกิจจำเป็นต้องมีกลยุทธ์และเทคนิคที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดและกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหนึ่งในนั้นก็คือ การตลาดออนไลน์เพิ่มยอดขาย

อะไรคือ การตลาดออนไลน์เพิ่มยอดขาย

การตลาดออนไลน์เพิ่มยอดขาย คือ การใช้ช่องทางออนไลน์ต่างๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและกระตุ้นให้เกิดการซื้อหรือใช้บริการของธุรกิจ การตลาดออนไลน์มีจุดเด่นคือสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างและรวดเร็ว โดยไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ ที่สำคัญคือมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการทำการตลาดแบบออฟไลน์ สามารถทำได้หลายวิธี อาทิ

  • การสร้างคอนเทนต์ เพื่อสร้างการรับรู้และความสนใจให้กับแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์/บริการ
  • การทำโฆษณา เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเป้าหมายโดยตรง
  • การใช้โซเชียลมีเดีย เพื่อเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายและสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
  • การทำการตลาดแบบมีส่วนร่วม เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย

การทำการตลาดออนไลน์เพิ่มยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการศึกษากลุ่มเป้าหมายอย่างถี่ถ้วน เพื่อเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมการซื้อสินค้าของกลุ่มเป้าหมาย เลือกช่องทางการตลาดที่เหมาะสม เพื่อสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ โปรโมทเนื้อหาอย่างมีประสิทธิภาพ และวิเคราะห์ผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอ

ช่องทางการตลาดออนไลน์ที่ได้รับความนิยม มีอะไรบ้าง

ในปัจจุบัน ช่องทางออนไลน์ถือเป็นช่องทางการตลาดออนไลน์เพิ่มยอดขาย ไม่ว่าจะเป็น โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ Email Marketing รวมไปถึง โฆษณาออนไลน์ มาดูกันว่า แต่ละช่องทางสามารถทำอะไรได้บ้าง

1. การตลาดออนไลน์เพิ่มยอดขาย ผ่านโซเชียลมีเดีย

ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Line, YouTube, TikTok ล้วนแล้วแต่เป็นช่องทางการตลาดออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากมีผู้ใช้จำนวนมากและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้หลากหลาย ธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดียเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า และกระตุ้นให้เกิดการซื้อหรือใช้บริการได้ โดยการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและน่าสนใจ การทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย หรือการทำโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย

2. การตลาดออนไลน์เพิ่มยอดขาย ผ่านการทำเว็บไซต์

เว็บไซต์ เป็นช่องทางการตลาดออนไลน์ที่ช่วยให้ธุรกิจสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและสร้างความน่าเชื่อถือ การสร้างเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ ที่นอกจากจะต้องมีความสวยงามแล้ว ควรจะต้องใช้งานง่าย เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจและผลิตภัณฑ์หรือบริการของธุรกิจได้อย่างสะดวก

 

ทำการตลาดออนไลน์เพิ่มยอดขายด้วย Email Marketing

 

3. การตลาดออนไลน์เพิ่มยอดขาย ผ่าน Email Marketing

หลายคนอาจจะเรียกสิ่งนี้ว่า EDM แต่ไม่ใช่แนวเพลงเต้นรำนะ คำนี้ย่อมาจาก Electronic Direct Mail คือ การทำการตลาดแบบตรงถึงกลุ่มเป้าหมาย (Direct Marketing) ผ่านช่องทางอีเมล โดยธุรกิจสามารถส่งอีเมลไปยังกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด วัดผลได้ทั้งจากอัตราการเปิดอ่าน อัตราการเปิดอ่านอีเมล (Open Rate) อัตราการคลิกลิงก์ (Click-Through Rate) รวมถึง Conversion Rate

4. การตลาดออนไลน์เพิ่มยอดขาย ผ่านโฆษณาออนไลน์

การตลาดออนไลน์เพิ่มยอดขายผ่านโฆษณาออนไลน์ (Online Advertising) คือ การใช้ช่องทางออนไลน์ต่างๆ เพื่อแสดงโฆษณาต่อกลุ่มเป้าหมาย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อหรือใช้บริการของธุรกิจ ซึ่งมีข้อดีก็คือ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดด้วยการกำหนดเป้าหมายโฆษณาได้ตามความสนใจ พฤติกรรมการซื้อสินค้า หรือข้อมูลอื่นๆ ของกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการวัดผลทั้งจากจำนวนผู้เข้าชมโฆษณา (Impressions) จำนวนผู้ที่คลิกโฆษณา (Clicks) และจำนวนผู้ที่ซื้อสินค้าหรือใช้บริการ (Conversions)

นอกจากช่องทางการตลาดออนไลน์ข้างต้นแล้ว ยังมีช่องทางการตลาดออนไลน์อื่นๆ ที่ได้รับความนิยม เช่น การสร้างคอนเทนต์เพื่อดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย ผ่านการทำ “Content Marketing” หรือจะเป็นการใช้บุคคลที่มีอิทธิพลต่อกลุ่มเป้าหมายช่วยโปรโมตผลิตภัณฑ์หรือบริการของธุรกิจด้วยการใช้ “Influencer Marketing” และอีกหนึ่งรูปแบบการตลาดออนไลน์เพิ่มยอดขายด้วยการโปรโมต หรือบอกต่อแล้วได้รับค่าคอมมิชชั่น ที่เราเรียกว่า “Affiliate Marketing” ไม่ว่าจะใช้ช่องทางไหนในการสร้างการตลาดออนไลน์เพิ่มยอดขาย ก็สามารถเลือกได้ตามที่สะดวก

เทคนิคการตลาดออนไลน์เพิ่มยอดขายที่มีประสิทธิภาพ

เราได้ทราบถึงช่องทางการทำการตลาดออนไลน์เพิ่มยอดขายกันไปแล้ว ซึ่งก็มีหลากหลายรูปแบบ หลายช่องทางให้ได้ใช้ตามสะดวก ซึ่งการที่เราจะไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้นั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากธุรกิจแต่ละประเภทไม่เหมือนกัน การใช้เทคนิคและวิธีการที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย สินค้า หรือบริการ จึงมีส่วนที่สำคัญอย่างมาก มาดูกันว่าเทคนิคการตลาดออนไลน์เพิ่มยอดขายที่มีประสิทธิภาพ ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ รวมถึงเพิ่มยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพ มีอะไรบ้าง

1. เทคนิคการตลาดออนไลน์เพิ่มยอดขาย ด้วยการใช้ Influencer

เทคนิคการใช้ Influencer คือ การใช้บุคคลที่มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมากบนโซเชียลมีเดีย และมีอิทธิพลต่อความคิดเห็น พฤติกรรม และการตัดสินใจซื้อของผู้ติดตาม เพื่อส่งเสริมและแนะนำสินค้าหรือบริการของธุรกิจให้กับผู้ติดตามที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งประโยชน์ของการใช้ Influencer คือเพิ่มการรับรู้ให้แบรนด์และเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายได้ค้นพบแบรนด์มากขึ้นจากการมีตัวตนบนพื้นที่สื่อโซเชียลมีเดียที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เฉพาะในเพจของแบรนด์เพียงที่เดียว ไม่เพียงเท่านี้ การใช้ Influencer จะช่วยให้ธุรกิจสร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์ได้มากขึ้น ผ่านคำพูด คำแนะนำ หรือรีวิวสินค้าหรือบริการของธุรกิจ ช่วยเพิ่มยอดขายผ่านสิ่งที่ Influencer นำเสนอ

2. เทคนิคการตลาดออนไลน์เพิ่มยอดขาย ด้วยการใช้ Real-time Marketing

เป็นการนำเหตุการณ์หรือแนวโน้มที่กำลังเป็นกระแสในสังคม มาเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารการตลาดของธุรกิจ โดยสร้างเนื้อหาที่มีความน่าสนใจ ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ทันท่วงที แต่ยังคงเกี่ยวข้องกับแบรนด์ ซึ่ง Real-time Marketing จะช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงลูกค้าที่มีศักยภาพและตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น และเพิ่มโอกาสให้แบรนด์ของคุณถูกแชร์ต่อไปให้กลุ่มเป้าหมายกลุ่มอื่น ๆ 

โดยเครื่องมือที่สามารถทำให้เราเข้าถึง Real-time Marketing ก็มีอยู่มากมาย อาทิ Google Trends, BuzzSumo, Social Mention ฯลฯ เพื่อติดตามและวิเคราะห์สิ่งที่ผู้คนกำลังค้นหา อ่าน และพูดถึงบนอินเทอร์เน็ต รวมถึงการใช้ Social Listening Tools เพื่อติดตามสิ่งที่สังคมกำลังพูดถึง

 

ทำการตลาดออนไลน์เพิ่มยอดขายด้วย Affiliate Marketing

 

3. เทคนิคการตลาดออนไลน์เพิ่มยอดขาย ด้วยการใช้ Affiliate Marketing

เทคนิคการใช้ Affiliate Marketing คือ การใช้บุคคลที่มีผู้ติดตามหรือผู้เข้าชมเป็นจำนวนมากบนช่องทางออนไลน์ เช่น บล็อก โซเชียลมีเดีย วิดีโอ ฯลฯ เพื่อส่งเสริมและแนะนำสินค้าหรือบริการของธุรกิจให้กับผู้ติดตามหรือผู้เข้าชมของเขา โดยจะได้รับค่าคอมมิชชั่นหรือส่วนแบ่งจากยอดขายที่เกิดขึ้นผ่านลิงก์พันธมิตร ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ และเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ในตาของเครื่องมือค้นหา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์

4. เทคนิคการตลาดออนไลน์เพิ่มยอดขาย ด้วยการใช้การตลาดออฟไลน์ควบคู่กับออนไลน์

เป็นการใช้ สื่อโฆษณารูปแบบที่คุณคุ้นเคย เช่น ป้ายโฆษณา ป้ายบิลบอร์ด สื่อโฆษณาทางทีวี วิทยุ ควบคู่กับสื่อใหม่ เช่น การใช้การตลาดออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย อีเมล หรือโฆษณาออนไลน์

ทั้งหมดนี้คือเทคนิคการตลาดออนไลน์เพิ่มยอดขาย ที่สามารถนำไปใช้ได้ตามความเหมาะสมกับธุรกิจและกลุ่มเป้าหมาย ที่ Digimusketeers เรามีบริการ Content Marketing บริการการตลาดออนไลน์ผ่านการสร้างคอนเทนต์ เพิ่มมูลค่าธุรกิจและเพิ่มยอดขายให้กับแบรนด์ของคุณด้วยกลยุทธ์ Content Marketing วาง Strategy ในส่วนของคอนเทนต์ให้กับแบรนด์จากการวิเคราะห์อินไซต์ของผู้บริโภค ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริงด้วย Tools ที่ทันสมัย ใช้ Storytelling รังสรรค์คอนเทนต์ให้สนุก เป็นที่จดจำและสื่อสารตัวตนของแบรนด์ ไปยังกลุ่มเป้าหมาย ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี

]]>