สถิติจาก ‘World Happiness Report 2021’ พบว่าประเทศที่อยู่ในแถบสแกนดิเนเวียทั้งหมด 5 ประเทศ เป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก ได้แก่ สวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก ไอซ์แลนด์ และฟินแลนด์ ซึ่งถ้าย้อนกลับใน World Happiness Report ปี 2020 หรือ 3 – 4 ปีที่ผ่านมา บรรดาประเทศในแถบสแกนดิเนเวียก็ไม่เคยหลุดจาก 10 อันดับในสิถิติของ World Happiness Report เลย โดยเฉพาะประเทศฟินแลนด์ที่ครองแชมป์อันดับ 1 ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกต่อเนื่องถึง 4 สมัยซ้อน แม้ว่าจะเป็นประเทศเล็ก ๆ ก็ตาม
หลายคนเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมบรรดาประเทศในแถบนี้ถึงติดอันดับประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกมาตลอด ก็เพราะว่ามีสิ่งที่หนึ่งที่ 5 ประเทศนี้มีร่วมกัน นั่นก็คือ ‘ประชาธิปไตยไวกิ้ง’ เป็นหลักการปกครองหนึ่งที่พวกเขาเคยใช้ปกครองประเทศในอดีต แล้วประชาธิปไตยไวกิ้งมีความเกี่ยวข้องอย่างไรที่ทำให้พวกเขาเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก เราจะมาอธิบายให้ฟัง แต่ก่อนจะไปในส่วนนั้น เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ 5 ประเทศในแถบสแกนดิเนเวียคร่าว ๆ กัน
ประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย
‘สแกนดิเนเวีย’ ภูมิภาคทางตอนเหนือสุดของทวีปยุโรป มีชื่อเดิมว่า ‘มณฑลสกาเนียน’ อาณาเขตจะครอบคลุมประเทศสวีเดนและนอร์เวย์เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็รวมไปถึงเดนมาร์กที่ตั้งอยู่บนคาบสมุทรจัตแลนด์ด้วย เพราะประเทศในภูมิภาคนี้มีความคล้ายกันในหลายด้าน ทั้งเชื้อชาติ วัฒนธรรมและภาษาที่พอจะสื่อสารกันเข้าใจ ซึ่งเราจะเรียกผู้คนในแถบนี้ว่า ‘ชาวสแกนดิเนเวียน’ แต่ก็มีคำที่ถูกใช้เรียกกันมาตั้งแต่ยุคบรรพบุรุษคือ ‘ไวกิ้ง’ และ ‘นอร์มังส์’
ปัจจุบันกลุ่มประเทศในแถบสแกนดิเนเวียประกอบไปด้วย 3 ประเทศหลัก ๆ คือ สวีเดน นอร์เวย์และเดนมาร์ก มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญเหมือนกัน ซึ่งเมื่อพูดถึงสแกนดิเนเวียก็จะมีอีก 2 ประเทศที่ถูกรวมเข้ามาด้วย ถึงแม้ว่าทางด้านภูมิศาสตร์จะดูห่างจากคาบสมุทรสแกนดิเนเวียอยู่บ้าง ก็คือประเทศ ‘ไอซ์แลนด์’ เพราะเคยตกเป็นของนอร์เวย์และเดนมาร์กมาก่อน เพิ่งได้รับเอกราชไปเมื่อ ค.ศ. 1918 และประเทศ ‘ฟินแลนด์’ เป็นประเทศที่อยู่กึ่งกลางสแกนดิเนเวียกับรัสเซีย เคยเป็นส่วนหนึ่งของสวีเดนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14-19 ไปทำความรู้จักแต่ละประเทศกันต่อเลย
สวีเดน
แม้ว่าค่าครองชีพจะค่อนข้างสูง โดยเฉพาะเมืองหลวงอย่างกรุงสต็อกโฮล์ม แต่สวีเดนก็มี GDP ต่อหัวที่สูง ด้วยโครงสร้างทางสังคมของประเทศที่เน้นความเท่าเทียมกันที่สร้างขึ้นในระบบการศึกษาโดยเริ่มตั้งแต่อนุบาล นอกจากนี้สวีเดนยังเป็นประเทศที่ดีสำหรับผู้หญิงด้วย เพราะมีกฎหมายให้สิทธิ์พ่อแม่ลางานเพื่อเลี้ยงดูบุตรถึง 480 วัน หรือ 16 เดือน โดยได้รับค่าจ้างและยังมีสวัสดิการอย่าง Day Care ดูแลเล็กให้พ่อแม่ช่วงทำงานฟรี ถือว่าเป็นประเทศที่เน้นความสมดุลในการใช้ชีวิตและการทำงาน ช่วยให้ประชาชนมีความสุขในการใช้ชีวิตมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับผู้อาศัยและนักท่องเที่ยว
นอร์เวย์
ประเทศที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีระบบประกันสังคมดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก มีเศรษฐกิจเฟื่องฟูที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน จึงมีธรรมชาติที่สวยงามโดดเด่นติดอันดับของโลก สภาพภูมิอากาศที่รายล้อมไปด้วยภูเขา เกาะและอ่าวเล็ก ๆ ถึงสภาพอากาศส่วนใหญ่จะหนาวเย็น แต่คนประเทศนอร์เวย์ก็มีสุขภาพดีและมีความสุข แค่ออกมาพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติก็ช่วยให้หายเครียดจากการทำงานได้แล้ว
เดนมาร์ก
วิถีการดำเนินชีวิตของชาวเดนมาร์กจะเน้นไปที่สมดุลระหว่างการใช้ชีวิตและการทำงาน มีระบบประกันสังคมที่ดี เด็ก ๆ สามารถเข้าถึงการศึกษาคุณภาพสูงโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้อัตราอาชญากรรมและการคอร์รัปชั่นค่อนข้างต่ำด้วย ถือว่ามีความเท่าเทียมกันในระดับสูงและมีความรับผิดชอบร่วมกันในสังคมเป็นอย่างดี
ฟินแลนด์
ประเทศที่ครองแชมป์มีความสุขที่สุดในโลก 4 สมัยซ้อน แม้จะเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่มีประชากรเพียงร้อยละ 0.07 ของประชากรโลก ขึ้นชื่อว่าเป็นอันดับ 1 ของประเทศที่มีเสถียรภาพมากที่สุดในโลกจากการสำรวจของกองทุนเพื่อสันติภาพ และยังเคยได้รับการโหวตให้เป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูงที่สุดในโลก
ไอซ์แลนด์
ไอซ์แลนด์เคยถูกให้เป็นประเทศที่มีการพัฒนาสูงสุดในโลก จากดัชนีการพัฒนามนุษย์ปี 2006 ของสหประชาชาติ และถือเป็นประเทศที่คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกอีกด้วย ด้วยสภาพภูมิอากาศที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติ ทั้งมหาสมุทร ป่าเขา ทะเลสาบและน้ำตกที่สวยงาม เป็นประเทศดีเยี่ยมทั้งในการหลักการปกครองและสภาพแวดล้อม
ประชาธิปไตยไวกิ้ง
รากฐานสำคัญที่ทำให้ประเทศแถบสแกนดิเนเวียมีความสุข
สิ่งหนึ่งที่ทำให้บรรดาประเทศในแถบสแกนดิเนเวียนั้นกลายเป็นประเทศที่มีความสุขมากที่สุดในโลก นอกจากสภาพภูมิศาสตร์ของประเทศที่ดีแล้วก็คือวัฒนธรรมการปกครองด้วยประชาธิปไตยแบบไวกิ้ง
ต้องเล่าย้อนกลับไปในช่วง 2,000 กว่าปีก่อน ในช่วงที่ประเทศแถบยุโรป ยังไม่มีการแบ่งรัฐที่ชัดเจน อาศัยอยู่กันแบบชนเผ่า แต่ก็มีชนชาติหนึ่งที่สร้างศูนย์รวมได้ โดยไล่ตีชนเผ่าต่าง ๆ แล้วสอนให้ผู้คนรู้จักรัฐรวมศูนย์เป็นครั้งแรก ก็คือชาวโรมัน พวกเขาไล่ตีดินแดนตั้งแต่ฝรั่งเศสไปจนถึงตุรกีในปัจจุบัน จนทำให้กลายเป็นจักวรรดิที่ใหญ่โตจนต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ แต่ชาวโรมันไล่ตีไปไม่ถึงยุโรปทางตอนเหนือที่เป็นถิ่นของชาวสแกนดิเนเวียน เมื่ออาณาจักรแผ่ขยายส่งผลให้สังคมแบบชนเผ่าดั้งเดิมกลายเป็นชนชั้นตามแบบโรมัน แต่พอถึงยุคโรมันล่มสลาย ทำให้เกิดระบบศักดิ์ดินาขึ้นทั่วยุโรป และดำเนินต่อมาเรื่อย ๆ นับพันปี เรียกกันว่ายุคกลางของประวัติศาสตร์ยุโรป แต่ถึงอย่างนั้นกลุ่มคนที่อยู่ในแถบนอกอาณาจักรโรมันก็ยังมีรูปแบบของสังคมที่ต่างกันออกไป เช่นเดียวกับกลุ่มหนึ่งที่ยังคงมีวัฒนธรรมการเมืองเป็นของตัวเองนั่นก็คือแถวในแถบสแกนดิเนเวียนั่นเอง
ชาวโรมันเรียกพวกนี้ว่า ‘ไวกิ้ง’ เป็นกลุ่มนักรบเถื่อนที่ไล่ตีชนชาติต่าง ๆ มากมาย ขยายดินแดนและตั้งรกรากในวงกว้าง สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชาวไวกิ้งถูกเรียกว่าคนเถื่อนนั้นมาจากการที่พวกเขาไม่มีกษัติรย์ปกครอง ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น ทำให้ดูเป็นการปกครองแบบชนเผ่าดั้งเดิม ดูล้าหลัง ต่างจากกลุ่มคนในแถบยุโรป แต่เพราะการปกครองด้วยประชาธิปไตยแบบไวกิ้งที่ดูไม่เจริญนี่แหละ ทำให้พวกเขาอยู่เหนือประเทศอื่นและเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกจนมาถึงปัจจุบันนี้
ประชาธิปไตยไวกิ้ง การปกครองที่ไม่มี ‘ผู้นำ’
ชาวไวกิ้งจะปกครองแบบรวมศูนย์ เรียกง่าย ๆ ว่าอยู่ร่วมกันหลายชนเผ่า แต่ละเผ่าก็จะไม่มีผู้นำ เวลามีเรื่องอะไรเข้ามาก็ต้องเอามาพูดที่ประชุมของเผ่า เพื่อให้ทุกคนในเผ่าหารือกัน แสดงความคิดเห็นร่วมกัน ส่วนปัญหาระหว่างเผ่า เมื่อต้องถกเถียงกันก็จะมีที่ประชุมร่วมของหลายชนเผ่า ขยายไปเป็นทอด ๆ ซึ่งเรียกกันว่า ‘Thing’ จะไม่มีการมารอให้ผู้นำเผ่าเป็นคนตัดสินใจ โดยไม่มีการปรึกษาใคร ซึี่งลักษณะการปกครองแบบนี้คล้ายกับ ‘ประชาธิปไตยทางตรง’ ในแบบของชาวกรีกที่หายสาบสูญไปในยุโรปด้วยน้ำมือของชาวโรมัน
‘ที่ประชุมเผ่า’ ของชาวไวกิ้งนั้นถือว่ามีอำนาจมาก ๆ มีเรื่องเล่าว่าเมื่อราว 1,000 ปีก่อน ในยุคที่เริ่มมีนักรบสวีเดนสถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์ของสวีเดน และเมื่อเขาเข้าไปที่ประชุมของเผ่าก็แทบจะโดนตะเพิดออกมา เพราะทางโฆษกของที่ประชุมเผ่านั้นพูดด้วยท่าทีที่หนักแน่นว่า “อำนาจปกครองเป็นของประชาชน ไม่ใช่ของษัตริย์ที่ไหน” ในขณะที่ยุโรปตอนล่างนั้นเต็มไปด้วยกษัตริย์ ปกครองด้วยระบบศักดินา ประชาชนไม่กล้ามีสิทธิ์มีเสียงกับผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นพวกอภิสิทชนหรือกษัตริย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสแกนดิเนเวียจะไม่มีกษัตริย์ เพราะทุกวันนี้บรรดาประเทศในแถบสแกนดิเนเวียต่างก็มีกษัตริย์ในประเทศของตนทั้งนั้น
แต่กษัตริย์ในแถบสแกนดิเนเวียดำรงตำแหน่งประมุขของประเทศตามประเพณี อำนาจจริง ๆ จะอยู่ที่สภาที่พัฒนามาจากที่ประชุมเผ่า ‘สภา’ ซึ่งสามารถถอดกษัตริย์ออกจากบังลังก์ และตั้งกษัตริย์ใหม่ขึ้นมาแทนได้ เรียกว่าเป็นสถาบันทางการเมืองสูงสุดที่มีมายาวนานตั้งแต่ยุคนั้นเลยก็ว่าได้ เพราะทุกชาติในยุโรป ‘สภา’ เกิดหลัง ‘กษัตริย์’ แต่ในแถบสแกนดิเนเวีย ‘สภา’ เกิดก่อน ‘กษัตริย์’เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นแล้วช่างต่างกันลึกลับ เพราะบางประเทศนั้นกษัตริย์มีอำนาจเหนือกฎหมาย
ปลูกฝังความคิด ‘ทุกคนเท่าเทียมกัน’
ลักษณะพิเศษในสภาของชาวไวกิ้งคือ ‘ทุกคนนั้นเท่าเทียมกัน’ ใครก็สามารถแสดงความคิดเห็นได้ ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน ถ้าเรามองย้อนกลับไป การปกครองด้วยประชาธิปไตยไวกิ้งนี้คือสิ่งที่ก้าวหน้าที่สุดในยุค 1,000 ปีก่อน และเป็นหลักการปกครองที่ทุกประเทศในโลกนี้ควรจะเป็นในปัจจุบัน ความเท่าเทียมกันถือเป็นวัฒนธรรมร่วมของประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย เพราะทุกคนมีความคิดที่ว่า ‘คนเท่ากัน’ มาก่อนยุโรปชาติอื่น ๆ ประชาชนสามารถมีส่วมร่วมทางการเมืองได้โดยไม่ผิด นี่คือสิ่งที่ส่งผลมายังปัจจุบันที่ว่าทำไมชาวสแกนดิเนเวียก้าวนำไปเหนือกว่าประเทศอื่นเยอะมากและกลายเป็นประเทศที่ประชาชนมีความสุขที่สุดในโลก ก็เพราะความเชื่อไว้ในประชาชนด้วยกัน และความเชื่อใจในรัฐของตน เพราะประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครอง ผู้คนจึงยอมจ่ายภาษีหนัก ๆ กันได้ มีสวัสดิการที่ดีให้กับประชาชน รัฐบาลไม่คดโกง
การมีรากฐานการปกครองที่ชื่อว่าประชาธิปไตยไวกิ้งตั้งแต่ยุคก่อนและถูกบ่มเพาะมาเป็นพันปี ทำให้พวกเขากลายเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก เมื่อไหร่ประเทศไทยของเราจะเดินมาถึงจุดนี้นะ คงต้องมาคอยนับเวลาคอยกันแล้วล่ะ