Google Analytics เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีค่าและมีประสิทธิภาพมากที่สุดสําหรับการวิเคราะห์เว็บไซต์ ลองมาศึกษาข้อมูลดูว่า เจ้า Google Analytics นี้ สามารถนำเสนอและแนะนำวิธีที่คุณสามารถใช้เพื่อปรับปรุงการทำการตลาดและ SEO ของคุณให้มีประสิทธิภาพให้ดีขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม ลองมาทำความเข้าใจก่อนว่า Google Analytics คืออะไร?
Google Analytics เป็นเครื่องมือวิเคราะห์เว็บ ที่ออกแบบมาเพื่อรวบรวมข้อมูลผู้ใช้งาน มีการจัดเรียงข้อมูลเป็นรายงานที่อ่านง่ายผ่านแดชบอร์ดที่ได้รับการปรับแต่งแล้ว
ทำไม Google Analytics จึงสำคัญต่อเว็บไซต์ของคุณ?
Google Analytics เป็นเครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมการเข้าใช้งานเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถเข้าใจผู้ใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรับปรุงเว็บไซต์และวางแผนการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เหตุผลที่ Google Analytics สำคัญต่อเว็บไซต์ของคุณมีดังนี้
1. ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้งาน
Google Analytics สามารถช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์เข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้งานได้อย่างลึกซึ้ง เช่น เพศ อายุ อุปกรณ์ที่ใช้เข้าเว็บไซต์ ระยะเวลาที่อยู่บนเว็บไซต์ หน้าเพจที่เยี่ยมชม เนื้อหาที่สนใจ เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถปรับปรุงเว็บไซต์ให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานมากขึ้น
2. ช่วยให้วัดผลประสิทธิภาพของเว็บไซต์
Google Analytics สามารถช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์วัดผลประสิทธิภาพของเว็บไซต์ เช่น จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ จำนวนหน้าที่ดูต่อผู้เข้าชม อัตราตีกลับ (Bounce Rate) อัตราเปลี่ยน (Conversion Rate) เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถตรวจสอบได้ว่าเว็บไซต์ของตนมีประสิทธิภาพหรือไม่ และหากมีจุดใดที่ควรปรับปรุง
3. ช่วยให้วางแผนการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Google Analytics สามารถช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์วางแผนการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น วิเคราะห์ช่องทางการเข้าชมเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด เพื่อใช้ในการโฆษณา วิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อของผู้ใช้งาน เพื่อใช้ในการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย เป็นต้น
4. ใช้งานง่ายและฟรี
Google Analytics เป็นเครื่องมือที่ใช้งานง่ายและฟรี ช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถเริ่มต้นใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องมีความรู้ด้านเทคนิคใด ๆ
Google Analytics ทำงานอย่างไร
Google Analytics ทำงานโดยใช้ แท็กติดตาม (Tracking Tag) ซึ่งเป็นโค้ด JavaScript ที่ฝังอยู่ในเว็บไซต์ เมื่อผู้ใช้งานเข้าชมเว็บไซต์ แท็กติดตามจะทำงานและส่งข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้งานไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Google Analytics ข้อมูลเหล่านี้รวมถึง
- ข้อมูลทั่วไปของผู้ใช้งาน เช่น ที่อยู่ IP, เบราว์เซอร์, ระบบปฏิบัติการ, อุปกรณ์
- ข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้งาน เช่น หน้าเพจที่เยี่ยมชม, เวลาที่ใช้บนเว็บไซต์, ลิงก์ที่คลิก
- ข้อมูลเชิงลึกอื่นๆ เช่น แหล่งที่มาของการเข้าชม, แคมเปญโฆษณา, กิจกรรมทางการตลาด
Google Analytics มีเกณฑ์ชี้วัดอะไรบ้าง?
ใน Google Analytics เมตริกเป็นข้อมูลเดี่ยวที่ใช้ชี้วัด โดยเมตริกสามารถปรากฏในรูปแบบผลรวมหรืออัตราส่วนก็ได้ ซึ่งโดยทั่วๆ ไปเช่น การบอกเมตริกหน้ารวมต่อเซสชั่น, การดูหน้าจอ, อัตรา Bounce rate (เวลาของการเด้งออกจากหน้าจอ), และเวลาที่ใช้บนหน้าเว็บ เป็นต้น
ชนิดของข้อมูลเชิงลึก ของ Google Analytics
ชนิดของข้อมูลเชิงลึกของ Google Analytics ที่ช่วยในการตรวจเช็คเว็บไซต์ของคุณได้มีอะไรบ้างมาดูกัน
#1 ข้อมูลเชิงลึกของ Active User บนเว็บไซต์
เมตริกนี้จะระบุจํานวนผู้ใช้ ที่ใช้งานอยู่บนเว็บไซต์ของคุณแบบเรียลไทม์ โดยคุณสามารถใช้เกณฑ์ชี้วัดนี้เพื่อตรวจสอบอีกครั้งว่าคุณตั้งค่า Google Analytics อย่างถูกต้องบนเว็บไซต์ของคุณหรือไม่
#2 ข้อมูลเชิงลึกของหน้าเพจที่ติดอันดับ Top
ใช้เมตริกนี้เพื่อติดตามหน้าเว็บที่ใช้งานมากที่สุดบนเว็บไซต์ของคุณแบบเรียลไทม์ หากคุณลงโพสต์ใหม่และคุณได้ทำการทำผ่านช่องทางการตลาด เมตริกตัวนี้สามารถระบุได้ว่าเนื้อหาใหม่ของคุณชิ้นนั้นสามารถดึงดูดการเข้าชมของผู้ใช้งานได้มากแค่ไหน และมีโพสต์ไหนที่อยู่ลำดับ Top บ้าง
#3 ใช้ตรวสอบ Conversions
เมตริกการแปลงเป้าหมายจะช่วยคุณติดตามคอนเวอร์ชั่นบนเว็บไซต์ของคุณ คุณยังสามารถใช้รายงานนี้เพื่อตรวจทานปุ่ม แบบฟอร์ม หรือธุรกรรมใดๆ ที่ใช้ในการทํา Conversion ให้เสร็จสมบูรณ์ได้ แต่ที่สำคัญคือ คุณจะต้องกำหนดเป้าหมายใน Google Analytics ก่อนจึงจะเห็นข้อมูลนี้ เมื่อทำแล้ว Google ถึงจะเริ่มนับว่าเป็น Conversion ตามเป้าหมาย นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้เมตริกนี้เพื่อตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณสามารถติดตาม Conversion ได้อย่างถูกต้องหรือไม่ แต่ต้องไม่ลืมว่า เมตริกนี้จะติดตามเฉพาะ Conversion ที่เสร็จสมบูรณ์ในช่วง 30 นาทีที่ผ่านมาเท่า
#4 ข้อมูลเชิงลึกของผู้เข้าชม : อายุ เพศ โลเคชั่น
Google Analytics เป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้คุณเข้าใจว่า ผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณเป็นใคร ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีอายุเท่าไหร่ เพศอะไร และอยู่ที่ไหนกันบ้าง เรียกว่ามีประโยชน์อย่างมากต่อนักการตลาดและคนทำคอนเทนต์ เพื่อให้เข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายของเขาเป็นใคร เพื่อให้การสื่อสารตรงเป้าตรงกลุ่มที่สุด
#5 ข้อมูลเชิงลึก “ผู้เข้าใหม่” กับ “ผู้กลับเข้ามา”
ข้อมูลหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ เครื่องมือนี้ยังช่วยแบ่งผู้เข้าชมเว็บไซต์เราเป็น “ผู้เข้าใหม่” (New Visitor) กับ “ผู้กลับเข้ามา” (Return Visitor) โดยผู้เข้าชมที่กลับมา คือผู้เข้าชมที่เข้าชมเว็บไซต์ของคุณมากกว่าหนึ่งครั้งในช่วงสองปีที่ผ่านมา ซึ่งการไหลเข้ามาของ “ผู้เข้าใหม่” จะบอกได้ว่าเว็บของคุณหรือแคมเปญการตลาดที่คุณทำไว้ประสบความสำเร็จ มีเนื้อหาที่เป็นที่นิยม และสามารถสร้างการรับรู้ของแบรนด์ได้ดี ส่วนข้อมูลของ “ผู้กลับเข้ามา” สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับหน้ายอดนิยมบนเว็บไซต์ของคุณ หรือเนื้อหาที่มีคุณค่าที่คุณสามารถต่อยอดนำมาใช้ใหม่ได้ รวมไปถึงคุณยังสามารถกําหนดเป้าหมายผู้ใช้ที่กลับมาได้ด้วยการมอบรางวัลความภักดี หรือเพิ่ม CTA ให้น่าดึงดูดยิ่งขึ้น
#6 ข้อมูลดีไวซ์ผู้เข้าชม : Desktop หรือ Mobile
Google Analytics ช่วยให้เรารู้และแบ่งอุปกรณ์การเข้าชมเว็บไซต์ของเราได้ และสามารถเปรียบเทียบสัดส่วนให้เห็นด้วยว่า ผู้เข้าชมใช้อุปกรณ์อะไรเปิดผ่านมือถือหรือบน Desktop
#7 ข้อมูลเชิงลึกให้รู้วการเข้า-ออกของผู้เข้าชม
เมตริกนี้จะแสดงให้เห็นการเดินทางของผู้ใช้บนเว็บไซต์ของคุณ ทำให้รู้ได้ว่าเว็บไซต์ใดที่นําผู้เข้าชมมาหาคุณ และเว็บไซต์ที่พวกเขาเยี่ยมชมหลังจากออกจากเว็บไซต์ของคุณไปแล้ว สิ่งนี้จะช่วยให้รู้ถึงความสนใจของกลุ่มเป้าหมายของคุณได้
#8 ข้อมูลเชิงลึกด้านสื่อที่เข้าถึงมากที่สุด
เป็นเครื่องมือที่สามารถบอกได้ว่า ช่องทางใดที่พาคนเข้ามาเยี่ยมชมเว็บของคุณ ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นพลังของทราฟฟิกที่มา ซึ่งจะบอกได้ว่าเว็บหรือแคมเปญของคุณมันเวิร์คไหม
#9 ข้อมูลของ Bounce Rate
Bounce Rate คือการคิดเปอร์เซ็นต์ของ การเข้าชมหน้าเดียวหรือเซสชันที่ผู้ใช้ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์ หรือจะหมายถึงการเข้ามาแล้วเด้งออกจากเพจหรือเว็บ ซึ่งหากมีอัตราการตีกลับสูงอาจจะเป็นสัญญาณที่ไม่ดีว่าเว็บของคุณไม่น่าสนใจพอ ดังนั้น ต้องรีบปรับปรุงเว็บเป็นการด่วน
#10 ข้อมูลเชิงลึกของคอนเทนต์
Google Analytics ยังทำให้คุณเห็นว่าหน้าไหนบนเว็บไซต์ที่ผู้คนให้ความสนใจมากที่สุด ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงอัตราการเข้าชมในหน้านั้น เพื่อให้คุณได้ทราบว่า หน้านั้นสามารถจับความสนใจของผู้ชมได้
#11 ข้อมูลเชิงลึกของพฤติกรรมผู้เข้ามาเว็บไซต์
เมตริกนี้จะแสดงให้เห็นว่าถึงปริมาณการการเข้าชมของผู้ใช้จากในแต่ละโลเคชั่น อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการเข้าชมจะสามารถระบุได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาได้เข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ มันถึงจะแสดงให้คุณรู้ถึงลำดับในแต่ละหน้าที่ผู้ใช้ได้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ และเวลาที่ใช้ในแต่ละหน้าด้วย รวมไปถึงยังบอกด้วยว่าผู้ที่เข้ามาชมหน้าเว็บไซต์คุณนั้นได้ไปยังหน้าเพจอื่นๆ อีกหรือไม่ รวมไปถึงไปจบที่หน้าของตะกร้าซื้อของด้วยหรือไม่ (หรือแม้แต่หน้าสุดท้ายที่คุณต้องการเช่น ลงทะเบียน หรือสมัครเข้าใช้งาน เป็นต้น)
#12 เช็คการออกจากหน้าเว็บ
นอกจากจะใช้เพื่อตรวจดูว่าการเข้าออกในเว็บไซต์ของผู้ใช้งานเป็นอย่างไร ก็ยังแสดงให้เห็นว่าว่ามีคนออกจากเว็บไซต์ของคุณอย่างไรด้วย โดยวิตเจ็ตนี้ก็เพื่อทำให้ตรวจสอบว่าที่หน้าเว็บของคุณนั้นมีปัญหารือไม่ เช่น มีการกระตุ้น Call to action ที่ไม่ดี หรือมีลิงก์ที่ใช้งานไม่ได้ เป็นต้น
#13 ตรวจสอบค่าเฉลี่ยในการโหลดหน้าเพจ
เกณฑ์ชี้วัดนี้เหมาะสําหรับ Core Web Vitals เนื่องจากความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สําคัญในการจัดอันดับหน้าเว็บของ Google ดังนั้น ปัญหาที่มีผลต่อความเร็วในการโหลดหน้าเว็บจึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งถ้าพบปัญหาก็ต้องรีบต้องรีบแก้ไข เช่น อาจเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่ช้า หรือการบีบอัดภาพการโหลดนานมากไป หรือการเลื่อนเค้าโครงหน้าช้าไป เป็นต้น
#14 ค่าเฉลี่ยต่อออร์เดอร์
ข้อมูลเชิงลึกนี้ดีมากสำหรับเว็บไซต์เพื่ออีคอมเมิร์ซ เพราะมันทำให้เรารู้สค่าเฉลี่ยเงินบาทต่อคำสั่งซื้อบนเว็บไซต์ของคุณ มันจะเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีของ ROI สำหรับแคมเปญการตลาดที่คุณทำไป และสามารถให้ไอเดียในเรื่องการกำหนดราคาสินค้าและบริการของคุณได้อีกด้วย
#15 แสดงข้อมูลการเช็คเอาท์ของลูกค้า
เมตริกนี้จะแสดงให้คุณเห็นว่ามีลูกค้าเช็คเอาท์และชำระค่าสินค้า หรือออกจากหน้าตระกร้าอย่างไร เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีรถเข็นถูกทิ้งร้าง รวมไปถึงทำให้เข้าใจถึง Customer Journey ของลูกค้าด้วย
#16 ข้อมูล Multi-Channel Conversions
ด้วยข้อมูลเชิงลึกนี้คุณสามารถตรวจสอบว่าช่องทางใดที่ให้ Conversion มากที่สุดบนเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งคุณสามารถรวมช่องต่างๆ เพื่อให้เห็นภาพรวมของจำนวน Conversion ได้ดีขึ้นด้วย ซึ่งเมตริกนี้จะช่วยให้คุณกำหนดทิศทางในการลงทุนงบประมาณการตลาดที่มีประสิทธิภาพที่ดีส่งผลต่อ ROI ที่ดีขึ้นด้วย
#17 ช่วยให้รู้กลุ่มตลาด
ด้วยข้อมูลเชิงลึกนี้ คุณสามารถตรวจสอบตําแหน่งที่ Google วางผู้ใช้ของคุณว่าอยู่ใน “กลุ่มในตลาด” ใด หรือ Segment ไหนของตลาด เป็นการวิเคราะห์แบบเดียวกับที่ Google Ads ใช้ ซึ่งผู้ใช้เหล่านี้คือผู้ที่กําลังมองหาผลิตภัณฑ์และบริการของคุณอย่างจริงจัง Google จะจัดกลุ่มพวกเขาตามเจตนาในการค้นหา
#18 ข้อมูลบนการ Search
หากเว็บไซต์ของคุณมีฟังก์ชันการค้นหา ฉะนั้น Insight นี้ จะบอกคุณว่าผู้คนค้นหาอะไร เมื่อพวกเขาเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณ สิ่งนี้ช่วยให้คุณสามารถใส่ทรัพยากรเพิ่มเติมไปยังหมวดหมู่หรือผลิตภัณฑ์ที่พวกเขากําลังค้นหาได้ ผ่านการสร้างช่องทางโดยตรงไปยังหน้าต่างๆ ซึ่งคุณทำมาร์เก็ตติ้งไว้หรือทำลิงก์ย้อนหลังเอาไว้ นอกจากนี้ ยังสามารถแสดงให้คุณเห็นว่าพวกเขากําลังค้นหาหน้าใด หากมีปัญหาเนื้อหาเช่นคําอธิบายที่ทําให้เข้าใจผิดหรือไม่ชัดเจนเพียงพอสําหรับผู้ใช้งาน
อย่างไรก็ตามข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ คุณสามารถรวมบัญชี Google Analytics ของคุณเข้ากับแดชบอร์ด SEO ของคุณได้ เพื่อดูข้อมูลเชิงลึกต่างๆ ไม่จําเป็นต้องสลับหน้าจอและคัดลอกข้อมูลจากหน้าหนึ่งหรือแดชบอร์ดหนึ่งไปยังอีกหน้าหนึ่ง คุณสามารถดูตัวชี้วัดและข้อมูลเชิงลึกได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย เปรียบเทียบกับคําหลักและการตลาดของคู่แข่ง ซึ่งปัจจุบันมีแพล็ตฟอร์มในการช่วยเหลืองานจุดนี้
และทั้งหมดนี้ ยิ่งคุณรู้จักลูกค้ามากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งพัฒนาเนื้อหาของคุณเพื่อให้บริการพวกเขาได้ดียิ่งขึ้นเพื่อธุรกิจที่เติบโตได้ด้วยการปรับแต่งข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับลูกค้า พฤติกรรม โปรไฟล์และอื่นๆ โดยศึกษาจากข้อมูลเชิงลึกผ่าน Google Analytics แล้วคุณจะพบว่ามันช่วยได้ดีทีเดียว.
ขอบคุณเนื้อหาจาก: