ภายหลังจากยุคโควิด-19 พฤติกรรมของผู้บริโภคจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป อีกทั้งเทรนด์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็พัฒนาอย่างรวดเร็ว ซึ่งสร้างทั้งโอกาสและความท้าทายครั้งสำคัญให้กับแบรนด์ในเวลาเดียวกัน แล้วแบรนด์จะปรับปรุงและพัฒนาตนเองอย่างไร โดยที่ไม่เสียตัวตนเดิม และยังสามารถยืนเหนือคู่แข่งได้อย่างแข็งแกร่งและปลอดภัย
เทรนด์การตลาดปี 2022 มีอะไรบ้าง
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เทรนด์การตลาดก็ย่อมเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เจ้าของธุรกิจและนักการตลาดจึงจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันกับเทรนด์ใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อให้สามารถเข้าถึงและดึงดูดลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งต้องบอกเลยว่าการตลาดในปี 2022 จะเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายอย่างมาก และนี่คือเทรนด์การตลาดยุคใหม่ ที่เจ้าของธุรกิจและนักการตลาดต้องตามให้ทัน มีอะไรบ้าง ไปดูกัน
1. Position zero บน Google
ในอดีตเราอาจพูดได้ว่าการทำเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกของ Google นั้นเป็นอะไรที่สำคัญอย่างมาก แต่เชื่อหรือไม่ว่าปัจจุบันการทำ SEO ให้ติดอันดับหน้าแรกของ Google ไม่เพียงพออีกต่อไป นักทำ SEO และบริษัทรับทำ SEO คงเคยได้ยินเกี่ยวกับคำว่า Zero Position หรือ ตำแหน่งศูนย์ อยู่บ่อย ๆ แต่ไม่ทราบว่ามันคืออะไร
Zero Position มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า Featured Snippets โดยเจ้าสิ่งนี้คือกล่องข้อความที่แสดงอยู่ด้านบนสุดของผลการค้นหา เหนือเว็บไซต์อันดับแรก หรือที่หลายคนเรียกว่า Zero Position ซึ่งการจะขึ้นไปแสดงเว็บไซต์ในส่วนนี้นั้นเป็นอะไรที่ยากมากเนื่องจากไม่มีสูตรที่ตายตัวเหมือนกับ SEO ทั่วไป ทำไมต้องตำแหน่งบนสุด เพราะ Google ได้ประมวลแล้วว่า น่าจะตรงตามความต้องการอยากทราบของผู้ใช้งานมากที่สุด (ดูจากคีย์เวิร์ดที่ป้อนเข้าไปบนแพลตฟอร์ม) โดยมีลักษณะพิเศษยิ่งกว่าการแสดงผลอันดับแรกแบบปกติก็คือมี Feature Snippet ซึ่งแสดงรายละเอียดบางส่วนของเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์นั้น เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับข้อมูลมากขึ้นและเห็นว่าเว็บไซต์นั้นมีเนื้อหาตรงกับสิ่งที่ตนอยากรู้จริง ๆ ซึ่งข้อดีของการทำ Zero Position ก็คือช่วยเพิ่มจำนวน Traffic ให้มีมากขึ้น แถมยังดูน่าเชื่อถือกว่า SEO ทั่วไป
2. การตลาดแบบ Personalization
การตลาดแบบ Personalization คือการทำการตลาดที่มุ่งเน้นไปที่ลูกค้าแต่ละราย โดยอาศัยข้อมูลและการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด ตัวอย่างของการตลาดแบบ Personalization เช่น การทำอีเมล์การตลาดที่ปรับเนื้อหาให้เหมาะกับแต่ละบุคคล การทำโฆษณาที่แสดงสินค้าและบริการที่ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะสนใจ
ซึ่งกลยุทธ์การตลาดแบบ Personalization ก็ทำได้ง่ายขึ้น ทำให้เราสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคเฉพาะคนด้วยคอนเทนต์ สินค้า บริการ ช่องทางการสื่อสาร ราคา และประสบการณ์ที่เหมาะกับคน ๆ นั้น ซึ่งฟังดูเหมือนจะยาก เพราะเราจะรู้ใจผู้บริโภคได้อย่างไร แต่เราสามารถนำ AI หรือ Machine Learning มาเก็บและประมวลผลข้อมูลรับรองว่าสามารถช่วยเก็บข้อมูลของลูกค้าให้กับคุณได้ โดยเริ่มจากการมีกลยุทธ์ที่ดี สื่อสารกันในทีมให้เข้าใจว่าต้องการข้อมูลอะไร เพศ ที่อยู่ อีเมล การศึกษา พฤติกรรมการใช้สินค้า หรือจะใช้เครื่องมืออย่าง Analytics เก็บข้อมูล และพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ก็ย่อมได้
ต่อมาก็ต้องวิเคราะห์ Personal ไปจนถึงกระบวนการตัดสินใจซื้อ อีกทั้งยังต้องทดลองว่าคอนเทนต์แบบไหนที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย ทั้งเนื้อหา รูปแบบ ขนาด Mood&Tone หรือตำแหน่ง สุดท้ายก็ต้องมีการวัดผลเพื่อดูว่าพฤติกรรมคนที่เข้ามายังเว็บไซต์เปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่ ให้เวลากับคอนเทนต์ส่วนไหนที่สุด ซึ่งข้อมูลพวกนี้ดูได้จากเครื่องมือจำพวก Analytics และพอรู้ข้อมูลที่วัดผลแล้ว เราก็สามารถจำแนกกลุ่มลูกค้าได้ละเอียดขึ้น คอนเทนต์ที่จะต้องทดลองต่อไปก็ต้องหลากหลายขึ้น ฉะนั้นการทำ Personalization มันต้องใช้เวลานาน และต้องใช้คน และที่สำคัญคือไม่ใช่แค่คอนเทนต์เท่านั้นที่เราจะทำ Personalization ได้ เราอาจจะไปประยุกต์ใช้กับการออกแบบตัวสินค้าหรือบริการ คำแนะนำสินค้า หรือการตั้งราคา เพราะแต่ละคนก็ประเมินสินค้าตัวเดียวกันแตกต่างกัน
3. Google My Business
จะว่าไปแล้ว Google My Business (GMB) ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เป็นของดีและฟรีที่ไม่ควรพลาด เพราะบริการของ GMB มีประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างมากทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ช่วยให้คุณใส่ข้อมูลของธุรกิจลงในฐานข้อมูลของ Google ได้ เมื่อมีคนเสิร์ชหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับร้านค้า หรือธุรกิจของเรา ข้อมูลก็จะแสดงขึ้นบน Google Search และ Google Map เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงร้านค้าของคุณได้
4. ค้นหาด้วยเสียง
หลายคนคงคุ้นเคยกับฟีเจอร์ค้นหาด้วยเสียงที่อยู่บนหน้าหลักของ Google Home หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อมต่อเข้ากับ Smart Device ภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการสั่งให้เริ่มต้นทำงาน สั่งให้เปลี่ยนเมนู หรือสั่งให้หยุดการทำงาน และยังสามารถสนทนาไปมาถามได้ว่าสภาพอากาศวันนี้เป็นอย่างไร หรือสั่งให้หาข้อมูลร้านอาหารเด็ดแถวบ้าน แถมยังสั่งซื้อและจ่ายเงินให้เราได้เลย
ปัจจุบันการค้นหาด้วยเสียงได้รับการพัฒนาให้มีความทันสมัย เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่นิยมช้อปปิ้งและทำธุรกรรมออนไลน์ผ่าน สมาร์ทโฟน เนื่องจากการค้นหาด้วยเสียงสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของการค้นหาแบบ Text Search ที่รวดเร็วและง่ายกว่า เพราะคนเราสามารถพิมพ์ข้อความประมาณ 38-40 คำ ภายใน 1 นาที แต่สามารถพูดได้ถึง 110-150 คำ ทำให้ Voice Search ก้าวขึ้นมาเป็นเทรนด์สำคัญของ Search engine marketing
ข้อดีของ Voice Search คือ ลูกค้าสามารถสอบถามข้อมูลต่าง ๆ ได้ทันที โดยที่อาจจะทำกิจกรรมอื่นร่วมไปด้วย ไม่ต้องพิมพ์ Keyword หรือค้นหารายการสินค้าในเว็บไซต์ ทั้งนี้การใช้เสียงเพื่อค้นหาจะทำให้ลักษณะของคำใกล้เคียงกับภาษาพูดมากขึ้น ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นคำถาม ซึ่งแตกต่างจากการพิมพ์ปกติที่มักจะใช้ภาษาเขียนเป็นหลัก ด้วยข้อดีเหล่านี้ทำให้กลุ่มธุรกิจ E-commerce นำฟังก์ชัน Voice search ไปใช้ประโยชน์ในการให้บริการค้นหาข้อมูลผ่านการใช้เสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่การพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่รองรับการสั่งงานและใช้เสียงเพื่อการค้นหาสินค้าหรือบริการได้ง่ายยิ่งขึ้น
ด้านของผู้ทำธุรกิจ E-commerce ก็ต้องปรับตัวตามให้ทันความต้องการของผู้บริโภค ด้วยการพัฒนาฟีเจอร์เว็บไซต์ให้รองรับคำสั่งเสียง เพราะฉะนั้น Voice Search จะมีผลกับการทำ SEO ที่ Keyword จะแตกต่างจากการค้นหาด้วย Text ธรรมดา เช่น ถ้าเราอยากจะซื้อของฝากที่เชียงใหม่ ถ้าค้นหาด้วย Text เราอาจจะพิมพ์ว่า “ของฝาก เชียงใหม่” แต่ถ้าค้นหาด้วยเสียง เราจะพูดว่า “ของฝากจังหวัดเชียงใหม่มีอะไรบ้าง?” ทำให้เว็บไซต์ต้องปรับปรุงเนื้อหา ที่ควรอยู่ในรูปแบบการตอบคำถามเป็นหลัก เรียกได้ว่าต้องเริ่มขยับตัวเพื่อเปลี่ยนแปลงกันอีกระลอกหนึ่ง
5. การค้นหาด้วยภาพ
ค่อนข้างชัดเจนเลยว่าผู้บริโภคยุคนี้มองว่าการค้นหาด้วยการพิมพ์เป็นขั้นตอนที่ยุ่งยาก แค่พูดหรือใส่ภาพก็ค้นหาสิ่งที่ต้องการได้แล้ว นี่จึงทำให้ Visual Search หรือ การค้นหาด้วยภาพ ได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งการค้นหาด้วยภาพช่วยให้ผู้ใช้หาผลิตภัฑณ์หรือข้อมูลที่คล้ายคลึงได้ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมด้านแฟชั่น วิศกรรมไฟฟ้า หรือแม้แต่การแพทย์ ด้วยเหตุนี้เองการค้นหาแหล่งข้อมูลผ่านค้นหาด้วยภาพจึงมีอัตราเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ในส่วนของการทำ SEO คือ การทำให้ Search Engine เข้าใจว่ารูปภาพที่เราใส่บนเว็บของเราคือรูปอะไร เพื่อสร้างโอกาสให้มีรูปภาพจากเว็บของเรา ไปปรากฏบนการค้นหา หมวดรูปภาพ และรูปภาพที่สวยๆ ยังช่วยให้ลูกค้าอยากคลิกเข้ามาเยี่ยมชม หรือซื้อสินค้าบนเว็บเราได้ง่ายขึ้น วิธีง่ายๆ คือ ควรเป็นภาพที่ถ่ายเอง ตั้งชื่อภาพให้สื่อความหมายที่ถูกต้อง และควรเป็นภาพที่รองรับการแสดงผลบนมือถือ
6. Video Marketing
ในปัจจุบันมีกลยุทธ์ในการขายหลากหลายวิธีที่จะช่วยสร้างโอกาสทางการขายในสินค้าของคุณ หนึ่งในวิธีนั้นก็คือ การทำวิดีโอมาร์เกตติ้ง (Video Marketing) เป็นการทำคอนเทนต์ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก หลายแบรนด์ใหญ่ๆแทบทุกแบรนด์ทำวิดีโอสำหรับแผนการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย เนื่องจาก ผู้คน 85% รู้สึกเชื่อมต่อกับแบรนด์มากขึ้นหลังจากดูวิดีโอสะท้อนให้เห็นว่าวิดีโอนอกจากจะช่วยเรื่องการโปรโมทสินค้าหรือบริการ ยังช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ให้แบรนด์ได้ด้วย
ยกตัวอย่างเช่น การทำวิดีโอสั้น (Short-form videos) ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์ เช่น TikTok หรือ Instagram Reels วิดีโอสั้นสามารถสร้างความสนใจ ความบันเทิง และความสัมพันธ์กับผู้ชมได้อย่างรวดเร็ว นักการตลาดต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และเทคนิคการถ่ายทำที่ดีเพื่อสร้างวิดีโอสั้นที่มีประสิทธิภาพ และปรับใช้กับแพลตฟอร์มต่างๆ ได้
และนี่คือเทรนด์การตลาด 2022 ที่เจ้าของธุรกิจ รวมถึงนักการตลาดควรติดตามเทรนด์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพื่อจะได้ปรับตัวให้ทันและสามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
========================================================
ข้อมูลจาก
https://blog.red-website-design.co.uk/2021/09/28/marketing-trends-2022/
https://www.krungsri.com/th/plearn-plearn/voice-search-trending
https://www.marketingoops.com/exclusive/how-to/5-steps-to-do-personalization-marketing/