seo | Digimusketeers

เรื่องที่หลายคนไม่รู้ของการทำ SEO

Digimusketeers, 2 June 2021

ทำ seo บริษัทไหนดี

 

SEO หรือ Search Engine Optimization คือการทำเว็บไซต์และคอนเทนต์มีคุณภาพ เหมาะสมในการขึ้นเป็นผลลัพธ์แรกๆ ของการค้นหาบน Google เพื่อให้เว็บไซต์มีคนเข้าชมมากขึ้น ซึ่งการติดอันดับต้นๆ ก็เหมือนกับการมีหน้าร้านอยู่ในทำเลทอง คนผ่านไปผ่านมาเยอะ และมีโอกาสในการขายได้มากขึ้น หลายธุรกิจจึงให้ความสำคัญกับการทำ SEO อย่างมาก

วันนี้ DigiMusketeers จะมาเปิดหลังบ้านการทำ SEO ที่เขาว่ากันว่าต้องทำแบบนี้ซิ แต่จริงๆ แล้วอาจไม่ใช่อย่างที่คิด มาดูกันว่ามีเรื่องไหนบ้าง

การทำ SEO ต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง

 

การทำ SEO มีองค์ประกอบอะไรบ้าง

 

การทำ SEO นั้นมีหลายองค์ประกอบที่ต้องให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและเข้ากันได้กับทั้งผู้อ่านและอัลกอริทึมของเครื่องมือค้นหา (Algorithm หรือ ระบบเรียนรู้ประมวลผลของเครื่องมือค้นหา) รวมถึงการปรับแต่งเว็บไซต์ในเชิงเทคนิคเพื่อให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์

องค์ประกอบของการทำ SEO มีดังนี้

  • On-page SEO เป็นการจัดการคอนเทนต์และปรับแต่งบนหน้าเว็บไซต์
  • Off-page SEO เป็นการทำ SEO นอกเว็บไซต์ หรือการสร้างการเชื่อมโยงกลับมายังเว็บไซต์ของเรา (Backlink)
  • Technical SEO เป็นการปรับแต่งเว็บไซต์ในเชิงเทคนิค

การทำ SEO On-page

 

การทำ SEO On-page

 

การทำ SEO On-page นั้นจำเป็นต้องปรับหลายอย่าง ถึงแม้ว่าจะปรับตามวิธีทั้งหมดหรือไม่ก็ตาม ผลลัพธ์ในการจัดอันดับเว็บไซต์ก็ยังมีความแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามการทำ SEO On-page ให้ถูกหลักย่อมมีผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ตามหลักเกณฑ์ที่ Google กำหนด

สำหรับส่วนประกอบของการทำ SEO On-page มีทั้งหมด 12 ข้อดังต่อไปนี้:

  • การสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพตามหลัก E-A-T (Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness)
  • การเลือกใช้ Keyword ที่เกี่ยวข้องและมีการค้นหา
  • การเขียนคอนเทนต์โดยใช้รูปแบบ SEO และให้ความเข้าใจง่าย (SEO Writing & Readability)
  • การใช้รูปภาพและสื่อมัลติมีเดีย เช่น วิดีโอ และ Infographic
  • การตั้งชื่อหน้าเพจที่มีประสิทธิภาพ (Title Tag)
  • การเพิ่มคำอธิบายหน้าเพจ (Meta Description)
  • การปรับแต่งรูปภาพให้เหมาะสมและเพิ่มประสิทธิภาพ (Image Optimization)
  • การเพิ่มความเร็วให้กับเว็บไซต์ (Site Speed)
  • การทำให้เว็บไซต์แสดงผลได้บนอุปกรณ์มือถือ (Responsive Design)
  • การตั้งชื่อลิงก์หรือที่อยู่เว็บไซต์ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ (Friendly URLs)
  • การสร้าง Internal link และ Outbound link
  • การทำให้เว็บไซต์ง่ายต่อการแชร์ (Shareable)

1. ทำคอนเทนต์ให้มีคุณภาพ (E-A-T Content)

หลายคนที่เข้าไปอ่านเว็บไซต์หนึ่งเพื่อศึกษาข้อมูลนั้น ๆ ย่อมต้องการ เนื้อหาที่ถูกต้อง มีคุณภาพและเข้าใจง่าย ซึ่ง Google หรือ Search Engine อื่นๆ ก็ต้องการสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน โดย Google ได้แนะนำไกด์ไลน์ในการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ เพื่อทำ SEO ให้ได้อันดับดีขึ้น ดังนี้

  1. Expertise หมายถึงเนื้อหาที่มาจากเว็บไซต์ที่มีความเชี่ยวชาญในเนื้อหานั้นๆ เช่น ถ้าเว็บไซต์เกี่ยวกับประกันภัย เนื้อหาในบทความควรเกี่ยวข้องกับความรู้ประกันภัย และเนื้อหาทั้งหมดก็ควรไปในทิศทางเดียวกัน
  2. Authoritativeness หมายถึงเนื้อหาจากผู้เขียนที่เชื่อถือได้ ซึ่ง Google จะพิจารณาว่าผู้ที่เขียนเนื้อหาในเว็บไซต์ เป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลในด้านความรู้นั้น ๆ มากน้อยแค่ไหน (เช่น จำนวนการอ้างอิงหรือการพูดถึง) และผู้เขียนมีตำแหน่งหรือไม่ เช่น เว็บไซต์ที่เกี่ยวกับทางการแพทย์ หากมีแพทย์เป็นผู้เขียนจะได้ความน่าเชื่อถือมากกว่านั่นเอง
  3. Trustworthy หมายถึงความน่าเชื่อถือของเนื้อหา โดยถ้าในเนื้อหามีการอ้างอิงเป็นจำนวนมาก เว็บไซต์นั้นก็จะมี Trustworthy ที่สูง ในทางกลับกันหากในเนื้อหามีการอ้างอิงน้อย Trustworthy ที่มีต่อเนื้อหาก็จะน้อยลงเช่นกน

2. การใช้ Keyword

 

การทำ SEO ฉบับปี 2023

 

การเลือกใช้ Keyword เพื่อนำไปแทรกในบทความจัดว่าเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่ต้องให้ความสำคัญไม่แพ้เทคนิคอื่น ๆ ในการทำ SEO เช่นกัน โดยควรใช้ Main Keyword เพียง ” Main Keyword เดียวต่อหนึ่งเพจ” เพื่อให้เนื้อหามีความชัดเจน โดยการทำ SEO Keyword ควรอยู่ในรูปแบบ ดังต่อไปนี้

  1. มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขียน (Relevant) โดย Main Keyword ควรเกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือเนื้อหาที่เรากำลังเขียน เพื่อให้ผู้อ่านได้รับความรู้ยิ่งขึ้น
  2. การค้นหาจากผู้ใช้ (Search Volume) และการใช้เครื่องมือสำรวจ Keyword Research เป็นวิธีในการดูปริมาณการค้นหา Main Keyword หากเลือก Keyword ที่มีการค้นหามาก จะเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้ค้นหาและเข้าสู่เว็บไซต์ของเรา
  3. ควรดูค่า Keyword Difficulty (KD) เพื่อเลือก Keyword ที่มีระดับความยากไม่มากและไม่ง่ายจนเกินไป หากเลือก Keyword ที่มีค่า KD สูงเกินไป อาจทำให้แข่งขันกับเว็บคู่แข็งได้ยากยาก

3. เขียนคอนเทนต์ตามหลัก SEO (SEO Writing & Readability)

การสร้างเนื้อหาหรือเขียนคอนเทนต์บนหน้าเว็บควรให้มีความเหมาะสมกับการทำงานของเครื่องมือค้นหา (Search Engine) เพื่อให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเทคนิคการเขียน SEO ให้มีคุณภาพทำได้ดังนี้ 

  • Keyword ควรจัดวางอย่างเป็นธรรมชาติและกระจายตามตำแหน่งที่เหมาะสม โดยไม่ควรแทรก Keyword มากเกินไป
  • การใส่ Heading Tag ให้กับหัวข้อในบทความ จะทำให้ Bot สามารถเข้าใจโครงสร้างของเนื้อหาได้อย่างรวดเร็ว
  • การเขียนแบ่งย่อหน้า ไม่ควรมีความยาวเกิน 5 บรรทัด เพื่อให้เหมาะกับการแสดงผลบนอุปกรณ์พกพา
  • การใช้ Bullet, Number และการเน้นตัวอักษร italic หรือ bold จะช่วยให้เนื้อหาอ่านได้ง่ายมากขึ้น
  • การแทรกวลี คำพูด หรือ Quote ไว้ระหว่างย่อหน้า จะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน รวมถึงผู้อ่านจะได้พักสายตาระหว่างที่อ่านบทความอีกด้วย
  • เนื้อหาควรมีความยาวที่เหมาะสม ไม่ควรสั้นจนเกินไป สำหรับบทความภาษาไทยเนื้อหาในบทความควรมีตั้งแต่ 1,000 คำ ขึ้นไป

4. ใช้รูปภาพและสื่อหลากหลายประกอบบทความ (Image & Multimedia)

การทำ SEO นอกจากเนื้อหาคอนเทนต์ที่มีคุณภาพแล้ว บนหน้าเว็บก็ควรมีสื่อประเภทอื่นๆ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจ เช่น ใส่รูปภาพ Infographic วิดีโอ ภาพเคลื่อนไหวหรือ Gif หรือสื่อ Interactive ที่ทำให้ดึงดูดผู้อ่านมากยิ่งขึ้น

นอกจากนั้นสิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้อ่านใช้เวลาสำรวจเนื้อหาบนเว็บไซต์นานขึ้น หรือก็คือการเพิ่ม Dwell time หรือ Time on page นั่นเอง ซึ่งเป็นหนึ่งใน User Signal ที่ทาง Google ใช้เป็นหลักเกณฑ์เพื่อประเมินว่าผู้ใช้งานชอบหน้าเพจนี้หรือไม่

5. วิธีการตั้งชื่อหน้าเพจ หรือ Title Tag

 

ทำ SEO ที่ไหนดี

 

การกำหนดชื่อหน้าเพจหรือใส่ Title Tag ให้กับหน้าเพจ เป็นการสื่อสารระหว่าง Bot และผู้ใช้ เพื่อให้รู้ว่าเนื้อหาในหน้าเพจนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องใด โดย Title Tag เป็นข้อมูลที่ Bot จะเข้ามาอ่านก่อนเป็นอันดับแรก โดยจะปรากฏเป็นชื่อของหน้าเพจบนผลการค้นหาใน Google 

การทำ SEO Title Tag มีความสำคัญอย่างมาก ควรเลือกชื่อบทความหรือชื่อเพจที่น่าคลิกเข้ามาอ่าน โดย Title Tag ควรยาวไม่เกิน 60 ตัวอักษร (หากเกินนี้จะไม่แสดงผลอย่างครบถ้วน) รวมทั้งควรมี Keyword แทรกลงไปด้วย

6. ใส่ Meta Description หรือ คำอธิบายหน้าเพจ 

Meta Description หรือคำอธิบายเว็บเพจในรูปแบบสั้น ๆ เป็นหนึ่งในทริคการทำ SEO ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานรู้ว่าเนื้อหาในหน้าเพจเกี่ยวข้องกับเรื่องใด และตรงกับเรื่องที่กำลังค้นหาอยู่หรือไม่

ในส่วนของ Meta Description ควรเป็นส่วนที่เขียนเพื่ออธิบายว่าเนื้อหาในหน้าเพจเกี่ยวข้องกับเรื่องใด และเมื่อผู้ใช้คลิกเพื่อดู เขาจะเห็นว่ามีเนื้อหาอะไรบ้าง โดยควรตั้ง Meta Description ให้น่าสนใจเพื่อผู้ใช้ต้องการคลิกเข้ามาอ่าน นอกจากนี้ถ้าเราสามารถแทรก Main Keyword ไว้ที่ Meta Description ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับเว็บไซต์ขึ้นได้อีก

7. ปรับแต่งรูปภาพให้เหมาะสม 

รูปภาพเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้หน้าเพจและเนื้อหาบนเว็บไซต์ของเราน่าสนใจมากขึ้น อย่างไรก็ตามเพื่อให้การทำ SEO ประสบความสำเร็จ เราควรปรับแต่งรูปภาพเล็กน้อย เพื่อให้ Google Bot สามารถเข้าใจสิ่งที่รูปภาพแสดงได้ และรูปภาพไม่จะโหลดนานเกินไป

จากนั้นควรใส่ Alternative text หรือ Alt text ให้กับรูปภาพ เพื่ออธิบายว่าเป็นรูปอะไร และเกี่ยวข้องกับเนื้อหาในหน้าเพจอย่างไร โดยสามารถแทรก Keyword ไว้ที่ Alt text ได้ โดยวิธีเหล่านี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการปรับปรุงอันดับ SEO ได้เช่นกัน

ในการเลือก Format หรือสกุลไฟล์รูปภาพ ควรเลือกตามความเหมาะสม เช่น png สำหรับรูปภาพคุณภาพสูงที่ไม่มีพื้นหลัง หรือ jpeg สำหรับไฟล์รูปภาพที่มีคุณภาพลดลง เพื่อให้การดาวน์โหลดเร็วขึ้น และสามารถใช้งานได้ในหลายบราวเซอร์ เช่น Chrome และ Firefox

สุดท้ายควรตั้งชื่อไฟล์รูปภาพให้มีความหมายและอ่านได้ง่าย เช่น “01-seo-keyword-placement” แทนชื่อรูปภาพที่ไม่สื่อความหมายเช่น “IMG_80404.png”

8. เพิ่มความเร็วให้กับเว็บไซต์ (Site Speed)

 

ทำ seo ราคาเท่าไหร่

 

ความเร็วเป็นปัจจัยที่สำคัญสำหรับการทำ SEO ซึ่ง Google จะใช้ Site Speed ในการให้คะแนนเว็บไซต์ โดยถ้าผู้ใช้งานรอให้เว็บไซต์โหลดมากกว่า 5 วินาที อาจจะถือว่านานเกินไป

ดังนั้นการเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์จึงเป็นเรื่องที่เจ้าของเว็บไซต์ควรให้ความสำคัญ สำหรับวิธีในการเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์ สามารถทำได้หลายวิธี เช่น

  1. เลือกใช้ Theme เว็บไซต์ที่รองรับความเร็วของเว็บไซต์นั้น ๆ
  2. เลือก Hosting ที่ช่วยเพิ่มความเร็ว หรือเลือกโฮสติ้งที่ตั้งอยู่ใกล้กับกลุ่มเป้าหมาย เช่น หากเว็บไซต์เน้นกลุ่มเป้าหมายในประเทศไทย ควรเลือก Hosting ในประเทศไทย
  3. บีบอัดขนาดไฟล์รูปภาพให้เล็กลง และเลือกใช้สกุลไฟล์ที่เหมาะสม เช่น webp และใช้เทคนิค Lazy load เพื่อให้รูปภาพค่อย ๆ แสดงออกมาในทีละส่วน
  4. ติดตั้งปลั๊กอินหรือเครื่องมือบนเว็บไซต์ตามความจำเป็นที่ต้องใช้ เพราะถ้าปลั๊กอินทำงานพร้อม ๆ กันเว็บไซต์จะยิ่งโหลดช้ามากขึ้น
  5. เก็บ Cache ใน Browser เพื่อให้ผู้ใช้งานที่เคยเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ไม่ต้องดาวน์โหลดหน้าเว็บใหม่ทั้งหมด เนื่องจากสคริปต์แคชจะถูกฝังอยู่ในเบราว์เซอร์มาตั้งแต่การเข้าเว็บไซต์ก่อนหน้านี้แล้ว

9. เว็บไซต์ต้องแสดงผลได้ดีบนมือถือ (Responsive Design)

ในปัจจุบันผู้คนมักใช้ Google ค้นหาสิ่งต่าง ๆ ผ่านสมาร์ทโฟนมากกว่าบนคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊ค เนื่องจากเว็บไซต์จะแสดงผลบนอุปกรณ์พกพาหรือ Mobile Responsiveness ได้ดีกว่า ดังนั้นควรออกแบบเว็บไซต์ให้แสดงผลได้ดีเพื่อรองรับการใช้งานผ่านอุปกรณ์เหล่านี้ เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถส่งผลต่อการทำ SEO โดยเรามีวิธีการออกแบบหน้าเว็บไซต์เบื้องต้นมาฝากคุณ

  • จัดรูปแบบเนื้อหาและองค์ประกอบต่าง ๆ ให้เหมาะสมและดูง่ายบนหน้าจอมือถือ
  • มีการเว้นระยะห่างระหว่างปุ่มต่าง ๆ ให้สามารถสัมผัสได้ง่ายและถูกต้อง ไม่ทำให้ผู้ใช้งานลำบากในการใช้งาน
  • มีขนาดตัวอักษรที่เหมาะสมสำหรับการอ่านบนหน้าจอมือถือ

10. ตั้งชื่อลิงก์หรือที่อยู่เว็บไซต์ให้เหมาะสม (Friendly URLs)

 

การทำ SEO ใน wordpress

 

เพื่อการทำ SEO ให้มีคุณภาพ ควรปรับแต่ง URL หรือที่อยู่เว็บไซต์ให้มีลักษณะที่อ่านง่ายและไม่ยาวเกินไป รวมทั้งควรมีโครงสร้างที่ดี เช่น www.yourwebsite.com/service/service_a หรือ www.yourwebsite.com/blog/contentname

ควรหลีกเลี่ยงการตั้งชื่อเว็บเพจที่แบบนี้ www.yourwebsite.com/1cODa5MdMUg0yRRpr2P_yk8dZwCmpkU8-H

เมื่อผู้ใช้งานคลิกเข้ามาจะทราบว่าพบข้อมูลอะไรบ้าง และเช็คว่าเว็บไซต์นี้ไม่ใช่ลิงก์สแปมหรือไวรัส ทั้งนี้การเขียน URL ควรใช้ภาษาอังกฤษ เนื่องจากหากเขียนเป็นภาษาไทย เมื่อลิงก์ถูกแชร์ในแพลตฟอร์มอื่น ๆ อาจแสดงผลเป็นตัวอักษรที่อ่านไม่ออกหรือมีความยาวเกินไป และอาจทำให้ผู้ใช้งานลำบากในการเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณ

11. ทำ Internal link & Outbound link

ภายในหน้าเพจต่าง ๆ ควรมีการเชื่อมโยงไปยังเว็บเพจและเว็บไซต์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มข้อมูลให้กับผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ และเพิ่มความเข้าใจของ Google Bot ผ่านการเชื่อมโยงไปหน้าเพจอื่น ๆ

การทำ Internal link หรือการเชื่อมโยงลิงก์ไปยังหน้าเพจอื่นภายในเว็บไซต์เดียวกัน จะช่วยให้ Google Bot เข้าใจเนื้อหาบนหน้านั้น ๆ ได้ดีมากขึ้น และการทำ SEO จะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นอีกด้วย

การทำ Outbound link หรือการลิงก์ไปยังเว็บไซต์อื่น ควรทำไปที่เว็บไซต์ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเรา หรือทำเป็นการอ้างอิงเว็บไซต์ก็ได้ หากทำเช่นนี้ Bot จะเข้าใจเนื้อหาและบริบทของเว็บไซต์เราได้ดีขึ้น จึงส่งผลให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของเราน่าเชื่อถือนั่นเอง 

12. ทำเว็บไซต์ให้ง่ายต่อการแชร์ (Shareable)

เมื่อผู้ใช้งานแชร์เว็บไซต์ของเราไปยังแพลตฟอร์มอื่น ๆ จะเป็นการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมหรือการเพิ่ม Traffic เข้าสู่เว็บไซต์ของเรา ซึ่งมีผลส่งการทำ SEO นอกจากนี้ยังทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของเราได้รับความนิยมและมีอิทธิพล

อีกทั้ง Google ยังช่วยทำให้เว็บไซต์ของเราขึ้นไปอยู่ในอันดับที่สูงขึ้นได้อีกด้วย โดยวิธีง่ายๆ ที่ทำให้ผู้คนอยากแชร์เว็บไซต์ของเรามากขึ้น คือ การมี “ปุ่มแชร์โซเชียลมีเดีย” เราแนะนำว่าควรวางปุ่มนี้ไว้ข้างบนหรือด้านล่างของเนื้อหาก็ได้ เพียงเท่านี้ผู้ที่มาเข้าชมจะสามารถแชร์เนื้อหาบนเว็บไซต์ของเราได้สะดวก

การทำ SEO Off-page

 

ทำ SEO Off-page

 

การทำ SEO Off-page หมายถึง การปรับแต่งเว็บไซต์ของเราเพื่อเพิ่มโอกาสมองเห็นเว็บไซต์ของเราในผลการค้นหามากขึ้น โดย “การทำ Backlink” หรือการทำให้เว็บไซต์อื่นส่งลิงก์อ้างอิงกลับมายังเว็บไซต์ของเรา

ประโยชน์ของการทำ Backlink หรือ Off-page SEO เกี่ยวข้องกับการเพิ่ม Crawler Bot ด้วยการส่งลิงก์มายังในเนื้อหาของเว็บไซต์เรา และเพิ่มคะแนน Authority จากเว็บไซต์อื่นที่มีการแนะนำหรืออ้างอิงเว็บไซต์ของเรา

Authority จะวัดจากการมีเว็บไซต์อื่นมาอ้างอิง โดยสิ่งนี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ Google จะใช้พิจารณาในการกำหนดความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ของเรา โดยมีผลต่อการคัดเลือกและจัดอันดับ (Ranking) เว็บไซต์ในผลการค้นหา 

ตัวอย่างของการทำ SEO Off-page หรือการทำ Backlink มีดังนี้

  1. การเขียนบทความให้กับเว็บไซต์อื่นแล้วส่งลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของเรา (Guest Posting)
  2. การโปรโมตเว็บไซต์บนโซเชียลมีเดีย และแชร์ลิงก์บนโซเชียล (Social Promotion)
  3. การทำวิดีโอเผยแพร่บนช่องทางอื่นแล้วส่งลิงก์กลับมา (Video)
  4. การทำอินโฟกราฟิกให้คนแชร์หรือนำไปใช้ แล้วส่งลิงก์กลับมา (Infographic)
  5. การทำสื่อหรือข่าวให้เว็บไซต์อื่นโดยแทรกลิงก์ในเนื้อหากลับมาที่เว็บไซต์ของเรา (Press Release)

สรุปการทำ SEO Off-page ง่ายๆ คือการทำให้มีผู้อื่นพูดถึงเว็บไซต์ของเราบนโลกออนไลน์มากขึ้น แล้วส่งลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของเรา การที่ Google เห็นว่ามีการอ้างอิงหรือการพูดถึงเว็บไซต์ของเราบ่อยๆ จะทำให้เว็บไซต์ของเรามีความน่าเชื่อถือนั่นเอง ซึ่งจะส่งผลให้ Google สนใจและอยากนำเว็บไซต์ของเรามาจัดอันดับในผลการค้นหาให้มากขึ้น

ทำ SEO แบบ Technical

 

ทำ seo คืออะไร

 

การทำ Technical SEO หมายถึงการปรับแต่งเว็บไซต์ในเชิงเทคนิคเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของเว็บไซต์ให้เป็นไปตามมาตรฐาน โดย Search Engine Crawl Bot จะสามารถเข้ามาสำรวจและเข้าใจเนื้อหาได้อย่างง่ายดาย รวมถึงทำให้เนื้อหาแสดงผลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อทำให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็วและลื่นไหล จำต้องเป็นอาศัยการทำ SEO อาศัยเทคนิคและการโค้ดดิ้งเพื่อให้เว็บไซต์ทำงานได้อย่างเหมาะสม

ตัวอย่างของเทคนิคการทำ Technical SEO ได้แก่

  1. การทำ SSL Certificate ให้เว็บไซต์หรือการเปลี่ยน http:// เป็น https:// จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์ และป้องกันการแฮกข้อมูล
  2. การเลือกใช้โฮสติ้ง (Hosting) ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการอัปโหลดและดาวน์โหลดเว็บไซต์ รวมไปถึงใช้การปรับขนาดไฟล์รูปภาพและสื่อต่างๆ เพื่อลดขนาดและเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ
  3. การสร้างแผนผังเว็บไซต์หรือ XML Sitemap จะช่วยให้ Search Engine Crawl Bot เข้าใจโครงสร้างเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ง่ายและรวดเร็ว
  4. การใช้ tag และ robot.txt เพื่อกำกับเนื้อหาหรือส่วนต่างๆ บนเว็บไซต์ จะช่วยให้ Crawl Bot เข้าใจว่าองค์ประกอบต่างๆ หมายถึงอะไรและเป็นอย่างไร
  5. การทำให้เว็บไซต์อยู่ในรูปแบบ Mobile Responsive จะสามารถแสดงผลได้ดีบนอุปกรณ์พกพาหรือมือถือของผู้ใช้งาน

แจกเทคนิคทำ SEO ให้ติดหน้าแรก

 

ทำ SEO ให้ติดหน้าแรก

 

แน่นอนว่าเป้าหมายของการทำ SEO คือการทำให้เว็บไซต์ติดอยู่ในอันดับแรก ๆ ของคำค้นหา แต่ต้องทำอย่างไรเว็บไซต์ของคุณจึงจะติดอันดับ? มาดูกัน

ทำ SEO ทั้งที เลือกคีย์เวิร์ดกว้างๆ ไปเลย

หลายคนอาจคิดว่าควรเริ่มทำ SEO จากคีย์เวิร์ดกว้างๆ พอติดอันดับแล้วคีย์เวิร์ดอื่นก็จะติดอันดับไปด้วย แน่นอนว่าการเลือกคีย์เวิร์ดกว้างๆ ย่อมเป็นคำที่มีความยาก ยิ่งถ้าเป็นเว็บไซต์เล็กๆ มีสินค้าไม่มากหรือเป็นเว็บไซต์เพิ่งเปิดใหม่ ก็ยิ่งเอาชนะคู่แข่งที่ติดอันดับในหน้าแรกได้ยากและใช้เวลานานกว่าจะติดอันดับในหน้าแรก เพราะฉะนั้น ควรเริ่มจากคีย์เวิร์ดที่เจาะจง ทำคีย์เวิร์ดย่อยๆ ติดอันดับก่อน ซึ่งจะช่วยทำให้คำอื่นๆ ติดอันดับได้ง่ายขึ้น เช่น หากเป็นร้านขายกระเป๋า อาจจะเริ่มจากคำว่า กระเป๋าสตางค์ผู้หญิง, กระเป๋าสะพายข้างผู้หญิง, กระเป๋าแฟชั่นผู้หญิง เป็นต้น โดยแบ่งหมวดหมู่ในเว็บไซต์ให้ตรงกับประเภทสินค้าและคีย์เวิร์ด

ใส่คีย์เวิร์ดเยอะ ทำให้ลูกค้าค้นหาเจอง่าย

 

การทำ SEO บน facebook

 

การทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่การใส่คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องไปเยอะๆ เพราะจากอัลกอริทึมของ search engine จะปรับลดคะแนน เนื่องจากคำไม่สอดคล้องกับเนื้อหา

เว็บไซต์ที่ดีจะติดอันดับเอง

ในความเป็นจริงแล้ว คุณจำเป็นจะต้องปรับเว็บไซต์ควบคู่ไปกับการทำ SEO ซึ่งการทำ SEO ให้ได้ผลดี ต้องเริ่มจากการมีพื้นฐานเว็บไซต์ที่ดีเช่นกัน ดังนั้นการทำ SEO จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกค้นเจอโดยผู้ใช้งานต่างๆ

Social ไม่มีผลต่อ SEO

ในความเป็นจริงแล้ว การเอาลิงก์ต่างๆ ไปโพสบน Social นั้นไม่ได้มีผลอะไรต่อการทำ Backlink แต่กลับกลายเป็นว่าการโพสบน Social นี้เองที่มีความสำคัญอย่างมากขึ้นมา เพราะถ้าใครค้นหาเรื่องราวเกี่ยวกับคุณใน Social media จะทำให้สามารถค้นพบคุณได้ง่ายมากกว่าคู่แข่ง และทำให้เว็บไซต์ของคุณมีคนนั้นเข้ามาเพิ่มจนมีผลต่ออันดับ SEO ได้ขึ้นมาเลย

เว็บติดอันดับแล้วจะขายดีเทน้ำเทท่า

 

ทำ SEO ด้วยตนเอง

 

แน่นอนว่าการติดอันดับต้นๆ ก็เหมือนกับการมีหน้าร้านอยู่ในทำเลทอง คนผ่านไปผ่านมาเยอะ และมีโอกาสในการขายได้มากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะขายดีตลอดไป หากไม่ผลิตคอนเทนต์ ปรับปรุงเว็บไซต์ให้ตรงกับที่ Google ต้องการ จำนวนคนเข้าเว็บก็จะหายไปเรื่อยๆ และเว็บจะหล่นไปอยู่ลำดับล่าง

นี่ก็เป็นเพียงหลักการเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยในการทำ SEO ซึ่งยังมีอีกหลายปัจจัยที่ช่วยให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้น และในขณะเดียวกันควรทำ UX (User Experience) ควบคู่ไปด้วย เพราะหากเว็บไซต์นั้น UX ไม่ดี อาจะส่งผลต่ออันดับ SEO โดยตรง ไว้โอกาสหน้าเราจะมาพูดถึงเรื่องการทำ UX บ้างนะครับ

 

 

คุณกำลังต้องการเพิ่มยอดขายออนไลน์ให้ธุรกิจของคุณอยู่หรือไม่

ปรึกษาฟรี!

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้ของเรา

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับ
Manage Consent Preferences บันทึก