คนจำนวนมากอาจจะยังสับสนกับคำที่ใช้เรียกเว็บสำหรับขายสินค้าออนไลน์ ทำให้เรามักได้ยินคำว่า Marketplaces กับ E-commerce ถูกนำมาใช้เรียกเว็บขายสินค้าออนไลน์แบบเหมารวมอยู่บ่อย ๆ ซึ่งอันที่จริงแล้วก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอก เพียงแต่ว่าเวลาที่เราต้องการพูดถึงทั้งสองสิ่งนี้ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการทำ SEO แล้ว มันจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้างในเรื่องของวิธีการ
เว็บไซต์สำหรับขายของออนไลน์ที่พบเห็นได้ทั่วไปในปัจจุบัน สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ เว็บที่เป็น Marketplaces และเว็บที่เป็น E-commerce สำหรับความแตกต่างของเว็บสำหรับซื้อขายสินค้าทั้งสองแบบนั้น เราสามารถสรุปง่าย ๆ ได้ดังนี้
Marketplaces
มาร์เก็ตเพลส คือเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างร้านค้าหลาย ๆ ร้านกับผู้ซื้อ โดยมีลักษณะคล้ายกับเป็นตลาดออนไลน์ที่มีสินค้าหลายชนิดจากหลายแบรนด์มารวมเอาไว้ให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบสินค้าได้ง่ายแล้ว ส่วนใหญ่เว็บแนวนี้จะนำเสนอบริการเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับร้านค้าทั้งในด้านการทำตลาด การวางแผนเพื่อส่งเสริมการขาย รวมถึงให้บริการเกี่ยวกับการชำระเงินในรูปแบบต่าง ๆ อย่างพร้อมสรรพด้วย และตัวอย่างของเว็บที่เป็น Marketplaces เจ้าใหญ่ในบ้านเราก็คือ Shopee และ Lazada นั้นเอง
E-commerce
ส่วนเว็บไซต์ประเภทอีคอมเมิร์ซนั้นเป็นเว็บที่เจ้าของธุรกิจสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นช่องทางสำหรับขายสินค้าของตัวเองออนไลน์ โดยในเว็บจะมีระบบจัดการสั่งซื้อสินค้าและชำระเงินที่แบรนด์เป็นผู้ดูแลระบบหลังบ้านเองทั้งหมด ซึ่งเจ้าของเว็บสามารถออกแบบและปรับแต่งฟีเจอร์บนเว็บได้อย่างที่ต้องการและสามารถเข้าถึงข้อมูลของลูกค้าและคนที่เข้าชมเว็บได้ทั้งหมด แต่เว็บประเภทนี้ก็มีต้นทุนในการสร้างและดูแลรักษาเว็บที่ธุรกิจต้องเป็นผู้แบกรับภาระเองทั้งหมดเช่นกัน
เคล็ดลับ SEO สำหรับเว็บไซต์ที่เป็น Marketplaces
การลงขายของในมาร์เก็ตเพลสนั้นมีค่าใช้จ่ายไม่มากและสะดวกรวดเร็ว เพียงสมัครใช้งาน ใส่ข้อมูลก็พร้อมขายออนไลน์ได้ทันที แต่เนื่องจากทุกอย่างมันง่ายดายไปหมดจึงมีร้านค้าอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วนที่เข้ามานำเสนอสินค้าและบริการแบบเดียวกันกับคุณ ถ้าเช่นนั้นเรามาดูกันเลยดีกว่าว่าจะมีเคล็ดลับอะไรบ้างที่ช่วยให้สินค้าของคุณมีผลลัพธ์การค้นหาที่โดดเด่นเหนือคู่แข่ง ซึ่งในการปรับแต่งเนื้อหาของสินค้าใน Marketplaces เพื่อให้เอื้อต่อการจัดอันดับ SEO นั้น คุณควรคำนึงถึง 4 สิ่งต่อไปนี้
#1 ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์
ข้อมูลผลิตภัณฑ์หมายถึงทุกอย่างที่เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้า เช่น ชื่อสินค้า คุณสมบัติ คำอธิบายเกี่ยวกับสินค้า สรรพคุณ รูปภาพประกอบ และจำนวนสินค้าที่มีพร้อมจำหน่าย ข้อมูลเหล่านี้อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของคำค้นหาที่ผู้ซื้อใช้ในการเสิร์ชหาสินค้าก็ได้ ดังนั้นควรใส่ให้ครอบคลุมที่สุด ซึ่งการเขียนข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ดีนั้นควรจะมีทั้งส่วนที่เป็นหัวข้อ (Title) รายละเอียดที่สำคัญเขียนแยกย่อยเป็นข้อ ๆ (Bullet points) และมีภาพประกอบที่ชัดเจน (Image) ซึ่งถ้าได้เป็นภาพแบบ 3 มิติยิ่งดีใหญ่
#2 คีย์เวิร์ด
นอกจากคุณต้องมี Primary Keywords ซึ่งเป็นคำค้นหาหลักของสินค้าแล้ว เราแนะนำว่าให้คิดหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องมาทำ SEO อีกจำนวนหนึ่งด้วยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและโอกาสที่จะถูกค้นเจอ และอย่าลืมว่าคีย์เวิร์ดที่เป็นวลียาว ๆ (Long-tail keywords) ประเภทที่ถามว่า หาซื้อ xxx ได้ที่ไหนนั้นไม่มีความจำเป็นสำหรับการทำ SEO บน Marketplaces
#3 ราคา
กลยุทธ์ในการกำหนดราคาของสินค้าก็มีผลต่อการจัดอันดับ ราคาที่เหมาะสม (ไม่แพงหรือถูกเกินไป) จะทำให้คุณสร้างยอดขายได้ง่ายขึ้นและเมื่อมียอดขายเพิ่ม สินค้าชิ้นนั้นก็จะมีโอกาสในการมองเห็นในหน้า SERPs เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
#4 ลิงก์จากแหล่งอื่นมายังหน้าสินค้า
การทำลิงก์จากแหล่งอื่นเพื่อพาคนมาที่หน้าสินค้า หรือ Backlinks เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้ผลดีเสมอเมื่อต้องการเพิ่มอันดับในการค้นหา และเราขอแนะนำให้คุณใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดียโพสต์ของคุณในการทำ Backlink มาที่หน้าสินค้าของคุณบน Marketplaces อย่างสม่ำเสมอ
เคล็ดลับ SEO สำหรับเว็บไซต์ E-commerce
ยิ่งเว็บไซต์ของคุณมีอันดับในการค้นหาที่สูงเท่าไหร่ โอกาสที่ลูกค้าจะมองเห็นก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น การทำ SEO บนเว็บประเภทนี้จะให้ผลตอบแทนในระยะยาวที่น่าพอใจอย่างแน่นอน และในการปรับแต่งเนื้อหาของเว็บ E-commerce เพื่อให้เอื้อต่อการจัดอันดับ SEO นั้น คุณควรคำนึงถึง 4 สิ่งต่อไปนี้
#1 ลูกค้าคือศูนย์กลาง
คิดและทำทุกอย่างเพื่อให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมายของคุณมากที่สุด เริ่มตั้งแต่ทำความเข้าใจความสนใจของคนกลุ่มนี้ เพิ่มประสบการณ์การใช้งานเว็บด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับพวกเขา เลือกใช้เนื้อหาที่ตรงกับวัตถุประสงค์ของลูกค้ามากที่สุด และอย่าลืมแชร์คอนเทนต์เหล่านี้ออกไปในโลกออนไลน์ด้วย
#2 จัดการโครงสร้างของข้อมูลในเว็บให้เป็นระบบ
คุณควรให้ความสำคัญกับโครงสร้างข้อมูลด้วยการใช้ Structure data เช่น โค้ดสกีมามาร์กอัป (Schema Markup) รวมถึงมีการปรับปรุงประสิทธิภาพความเร็วในการเข้าถึงหน้าเว็บตามหลักการทางเทคนิค เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลต่อการมองเห็นของบอตของกูเกิลโดยตรง สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรมช่วยมาร์กอัปข้อมูลของ Google ได้ที่นี่
#3 ลดอัตราการตีกลับ (Bounce rate)
อัตรา Bounce rate หรือการที่ลูกค้าเข้าเว็บมาแล้วออกเลยมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการทำ SEO และเว็บไซต์ E-commerce ที่ดีต้องมีค่า Bounce rate ต่ำ ซึ่งการที่ลูกค้าเข้ามาแล้วเด้งออกจากเว็บไปแทบจะในทันทีนั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุหลายอย่าง เช่น ดีไซน์ของหน้าเว็บไม่รองรับการดูผ่านมือถือ การประมวลผลของเว็บไซต์ไม่ดีพอทำให้เว็บโหลดช้า มีโฆษณาแบบป๊อปอัพมากเกินไป ฯลฯ
#4 สร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ด้วยลิงก์จากภายนอกเว็บ
ความน่าเชื่อถือ (Trust and authority) มีอิทธิพลต่อการทำ SEO บนเว็บประเภท E-commerce เช่นเดียวกันกับเว็บประเภท Marketplaces และสิ่งที่คุณสามารถทำเองได้ไม่ยากก็คือการทำ Backlinks กลับมาที่หน้าเว็บของคุณเพื่อช่วยเพิ่มอันดับในการค้นหา
อย่างไรก็ตาม ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเคล็ดลับบางส่วนเท่านั้น หากคุณสนใจอยากเพิ่มยอดขายด้วยการทำ SEO สามารถปรึกษาทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องนี้ของเราได้โดยตรง###
=====
ข้อมูลจาก
https://www.pimworks.io/blog/seo-for-marketplaces-tips-tricks-best-practices/
https://ecommercegermany.com/blog/top-6-seo-tips-for-ecommerce-websites-in-2021