เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักร้านสะดวกซักที่เปิด 24 ชั่วโมง แบรนด์ “Otteri” มาบ้าง แม้ไม่เคยใช้บริการ อย่างน้อยก็ต้องเคยเห็น เพราะปัจจุบัน Otteri มีสาขามากกว่า 600 สาขา กระจายอยู่ทัวประเทศ ทั้งในอาคารหอพัก และ Stand-alone ที่อยู่ในแหล่งชุมชน
วันนี้เราจะพาผู้อ่านทุกท่านมาเปิดแนวคิดการทำธุรกิจของ คุณกวิน นิทัศนจารุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค-เน๊กซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือที่รู้จักกันในนามแบรนด์ร้านสะดวกซัก Otteri wash and dry
กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ฉบับ Otteri
จริงๆ แล้วกลยุทธ์ทางธุรกิจของ Otteri ถูกแบ่งออกมาหลาย Phase ในแต่ละช่วงของการทำธุรกิจ ช่วงแรกของการเริ่มธุรกิจ เราโฟกัสที่การสำรวจตลาด และศึกษาโมเดลธุรกิจลักษณะนี้จากประเทศอื่นๆ เช่น มาเลเซีย เราได้เห็นวิวัฒนาการการซักผ้าล้ำหน้ากว่าบ้านเรา 5-6 ปี เพราะฉะนั้น นี่อาจเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับไทยในอีก 5-6 ปีข้างหน้าเช่นกัน ทำให้เราคาดการณ์อนาคตได้ก่อน จึงเริ่มวางกลยุทธ์ธุรกิจตนเอง ทำให้ Otteri เป็นผู้เล่นรายแรกของตลาดนี้ในประเทศไทย
ซักผ้าครั้งละ 40 บาท เมื่อไรจะคืนทุน
การตั้งราคาก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าสนใจ ด้วยความที่ Otteri ตั้งราคา 40 บาทต่อครั้ง ทำให้คนภายนอกมองว่าการลงทุนซื้อเครื่องซักผ้าหลักแสน เพื่อแลกกับ 40 บาท ไม่คุ้มเท่าไรนัก เมื่อคู่แข่งมองว่าไม่คุ้ม เขาก็ไม่ทำ แต่ในความเป็นจริงและระยะยาวก็คุ้ม ทำให้ในช่วงแรก Otteri ขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว
ทำอย่างไรให้เครื่องซักผ้าเข้าสู่ออนไลน์ได้
ปัจจุบันทุกคนอยู่ในโลกของ IOT หรือ Internet of Things และ Cashless Society ทุกอย่างต้องออนไลน์ เราเริ่มดีไซน์ตั้งแต่แรกว่าจะทำอย่างไรให้เครื่องซักผ้าสามารถออนไลน์ได้ ผู้ใช้บริการต้องรู้ว่าตอนนี้เครื่องซักผ้าว่างหรือไม่ว่าง จะได้ไม่หอบผ้ามาเก้อ Otteri จึงได้สร้างแอปพลิเคชันสำหรับ End User (ผู้ใช้บริการ) และเจ้าของ Franchisee (ผู้รับสิทธิ์ในการดำเนินธุรกิจ ตามระบบที่เจ้าของสิทธิได้จัดเตรียมไว้) ได้ใช้งานอย่างเต็มที่
สำหรับการใช้งานในฝั่ง End User จะใช้ค้นหาสาขาที่อยู่ใกล้ รู้ว่าในร้านมีเครื่องซักผ้ากี่เครื่อง เช็กสถานะการทำงานของเครื่อง หรือหากเครื่องกำลังทำงานอยู่ อีกกี่นาทีเสร็จ รวมถึงการจ่ายเงินออนไลน์ และมีการสะสมแต้มด้วย
ทางฝั่ง Franchisee ก็จะรู้ว่าเครื่องใช้งานไปกี่ครั้ง และถึงเวลาที่ต้องบำรุงซ่อมแซมหรือยัง ทำให้ควบคุมต้นทุนได้ หรือขายในราคาที่เหมาะสมได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีการบริการหลังการขายที่ทางบริษัทฯ มอบให้พันธมิตรคือ การเทรนนิ่ง ด้วยการสอนการแก้ปัญหาเบื้องต้น เมื่อเครื่องเกิดปัญหา และเราก็มีทีมช่างที่พร้อมลงพื้นที่
มีหลายสาขาควบคุมคุณภาพอย่างไร
จุดเด่นของ Otteri อยู่ที่การรักษามาตรฐานที่ไม่ได้ถูกทำโดยมนุษย์ แต่ถูกสร้างโดยเครื่องจักรและโปรแกรมทันสมัย ทำให้ไม่ว่าจะซักผ้าที่จังหวัดใด คุณภาพการซักที่ได้ก็เหมือนกันทุกที่ เพราะฉะนั้น Human Error จึงแทบไม่เคยเกิดขึ้นเลย
นี่คือสิ่งที่ Otteri มองเห็นตั้งแต่ก้าวแรกของการทำธุรกิจว่า เทคโนโลยีกำลังจะขับเคลื่อนไปทางไหน สิ่งที่ผู้บริโภคต้องการคือ ความสะดวกสบาย ต่อให้เทคโนโลยีพัฒนาไปมากเพียงใด เรายังคงมองหา Pain Point ต่อไป
อีกหนึ่ง Factor ที่น่าสนใจจากการรีเสิร์จข้อมูลพบว่า อัตราส่วนประชากรต่อร้านสาขาของ Laundromat โดยปกติจะอยู่ที่ 5,000 คนต่อหนึ่งสาขา ถ้าเราใช้ตัวเลขเดียวกันมาคำนวณถึงจำนวนสาขาที่จะเกิดขึ้นในไทย ประมาณการณ์สูงสุดที่ 10,000 – 11,000 สาขา ในอนาคต Otteri ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดไม่ต่ำกว่า 30% หรือมากกว่า 3,000 สาขา
เทรนด์การทำธุรกิจในอนาคต
ผมเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องของการทำกำไรให้ได้สูงสุด แล้วนำเงินบางส่วนไปทำ CSR ผมว่าเทรนด์ในตอนนี้คือเรื่องของธุรกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise ที่แก้ปัญหาสังคมควบคู่กับการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน และทำเพื่อสังคมอย่างเป็นรูปธรรม
ร้านซักผ้าจะแก้ปัญหาสังคมได้ยังไง
ในช่วง Covid-19 ที่ผ่านมา เรามองเห็นปัญหาเรื่องความเหลือมล้ำระหว่างคนมีฐานะดี กับคนมีฐานะไม่ดี หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพ คนมีเงินก็จะใช้เงินแก้ปัญหาเรื่องการซักผ้า ส่วนคนไม่มีเงิน เขาต้องเอาเวลามาแลกกับความสะอาด และการใช้เงิน 40 บาทเพื่อซักผ้าก็เป็นเรื่องยาก เพราะมีบางส่วนเลือกที่จะซักมือ เป้าหมายต่อไปของเราคือ การทำร้านซักผ้าให้กลายเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทุกคนเข้าถึงได้ในราคาประหยัดเป็นสิ่งที่เราต้องทำให้เกิดขึ้น
ชมคลิปการสัมภาษณ์เต็มๆ ได้ที่ https://www.facebook.com/DigiMusketeers/videos/716978962625382
ภาพจาก https://www.facebook.com/otteriwashdry
