จากจุดเริ่มต้นเมื่อ 70 ปีที่แล้ว Marimekko ถือเป็นแบรนด์ที่เปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ และความกล้าหาญที่จะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ผ่านการพิมพ์ลวดลายบนผืนผ้า และสร้างเอกลักษณ์ประจำชาติฟินแลนด์ได้อย่างชัดเจน ก่อนจะกลายเป็นแบรนด์สิ่งทอที่ต่อยอดเป็นแบรนด์แฟชั่น และของตกแต่งบ้านที่ประสบความสำเร็จระดับโลก
เรื่องราวของ Marimekko เริ่มต้นขึ้นในปีค.ศ. 1949 ณ ประเทศฟินแลนด์ ในโรงงาน Printex ที่เชี่ยวชาญด้านการพิมพ์สิ่งทอของ Viljo Ratia ผู้เป็นสามี โดยมีภรรยาของเขา Armi Ratia เป็นผู้ผลักดันการออกแบบสินค้าที่มีแนวคิด “One has to dream” และมองเห็นถึงความสามารถในการออกแบบของศิลปินรุ่นใหม่ โดยได้รวมตัวนักออกแบบ 2-3 คนมาออกแบบลายผ้าที่ใช้เครื่องพิมพ์สมัยก่อน
Armi Ratia ผู้ก่อตั้ง
แฟชั่นโชว์ครั้งแรกของ Marimekko
ในยุคนั้นลายผ้าของ Marimekko ได้รับความสนใจอย่างมาก ผิดกับยอดขายที่ไม่สู้ดีนัก Armi และ Viljo จึงได้จัดแฟชั่นโชว์เพื่อแสดงให้เห็นว่าผลงานของพวกเขานำมาทำเป็นเสื้อผ้าได้สวยแค่ไหน โน้มน้าวให้สาวๆ เห็นว่าสามารถสวมเสื้อผ้าที่มีลวดลายแบบเดียวกับผ้าขนหนูหรือผ้าปูโต๊ะได้ และคอลเลกชันแรกของ Marimekko ออกแบบโดย Riitta Immonen ที่ใช้รูปแบบการพิมพ์จากศิลปินชาวฟินแลนด์หลายคน ซึ่งสร้างยอดขายได้มาก เสื้อผ้าขายเกือบหมดคอลเลกชั่น
หลังจากนั้นไม่กี่วัน Marimekko ได้จดทะเบียนบริษัทอย่างเป็นทางการ และร้าน Marimekko แห่งแรกก็เปิดขึ้นในเฮลซิงกิในปี 1951
ต่อมาในปี 1958 แบรนด์ Marimekko ได้ไปร่วมงาน Brussels World’s Fair ประเทศเบลเยียม ให้มาจัดนิทรรศการ Modern Living to American Home ถือเป็นการปฏิวัติวงการแฟชั่น และเริ่มจำหน่ายเสื้อผ้าในปี 1959
เรียบง่าย เอาชนะกาลเวลา
หนึ่งในภาพจำของ Marimekko คงหนึไม่พ้นโลโก้ ที่เต็มไปด้วยความเรียบง่าย ไร้กาลเวลา ด้วยการใช้ฟอนต์เครื่องพิมพ์ดีด Olivetti ทำให้หลายคนยังจดจำโลโก้ได้แม่น และปัจจุบัน Marimekko ก็ยังใช้โลโก้นี้อยู่
ประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้
เครื่องการันตีที่บอกว่า Marimekko เป็นแบรนด์ระดับโลกเกิดขึ้นเมื่อคนดังเลือกสวมใส่เสื้อผ้าจากแบรนด์ แม้กระทั่ง Jacqueline Kennedy ภรรยาของ John.F Kennedy สวมชุดเดรสอง Marimekko เพื่อช่วยสามีหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และใส่ชุดของ Marimekko ขึ้นปก Sports Illustrated ทำให้ Marimekko เป็นที่รู้จักในวงกว้างผ่านนิตยสารแฟชั่นชั้นนำต่างๆ
และในปี 1974 Marimekko ได้ร่วมงานกับ Fujiwo Ishimoto ดีไซเนอร์ชาวญี่ปุ่น ผู้ออกแบบลวดลายที่มีมนต์ขลังกว่า 400 แบบ
Unikko
หนึ่งในภาพจำของ Marimekko คือ ดอกป๊อปปี้ขนาดใหญ่ เป็นผลงานของ Maija Isola แม้ว่าในช่วงแรก Armi Ratia จะต่อต้านการออกแบบลายดอกไม้ แต่ด้วยการออกแบบที่แสนสดใส ดอกป๊อปปี้ก็กลายเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ไปโดยปริยาย
ทุกวันนี้ Marimekko ได้ผสมผสานภาพพิมพ์ที่เป็นอัตลักษณ์ของแบรนด์ ร่วมกับทีมนักออกแบบรุ่นใหม่ที่ทำให้แบรนด์ไม่เคยตกยุค
นอกจากนี้ Marimekko ยังให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมด้วยการเปิดตัวคอลเลกชั่นแคปซูนที่ผลิตจากเส้นใย Spinnova ที่ผสมผสานเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมของ Spinnova เข้ากับศิลปะการพิมพ์ของ Marimekko เพื่อสร้างความยั่งยืนในอนาคต
Marimekko ใช้กลยุทธ์การตลาดเพื่อสร้างการเติบโตระหว่างประเทศทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยมีตลาดหลักๆ ได้แก่ ยุโรปเหนือ อเมริกาเหนือ และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวม 40 ประเทศทั่วโลก
ปัจจัยความสำเร็จของ Marimekko
1. มีเอกลักษณ์ชัดเจน
เราปฏิเสธไม่ได้ว่า เมื่อเห็นลายผ้าดอกป๊อปปี้ ทุกคนต้องนึกถึง Marimekko อย่างแน่นอน ซึ่งไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แต่แบรนด์ยังแตกไลน์ไปในกลุ่มของแต่งบ้าน หรือของประดับอื่นๆ ทำให้สินค้าของ Marimekko อยู่ในทุกส่วนของชีวิต
2. เข้าได้กับทุกเพศ
ปัจจุบันเทรนด์เสื้อผ้าแฟชั้นไม่ได้จำกัดเพศหรืออายุอีกต่อไป แบรนด์เสื้อผ้าเริ่มหันมาทำเสื้อผ้าแบบ Unisex มากขึ้น ทาง Marimekko ได้จัดทำคอลเลกชั่น Unisex มาตั้งแต่ปี 1953 จนถึงตอนนี้
3. เป็นพาร์ทเนอร์กับแบรนด์อื่น
ในการทำธุรกิจ หากทำคนเดียวก็อาจโตช้า แต่ถ้ามีพันธมิตรหรือพาร์ทเนอร์ที่ดี ธุรกิจก็จะไปได้ไวขึ้น สำหรับ Marimekko ที่ได้จับมือกับแบรนด์ดังต่างๆ มากมาย ทั้ง Adidas, Uniqlo, Converse และ ikea เป็นต้น ไม่เพียงแต่จะสร้างการรับรู้ในวงกว้าง ยังช่วยเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ให้ดูทันสมัยและสดใหม่ตลอดเวลา
ข้อมูลจาก
https://company.marimekko.com/en/about-marimekko/history/
https://www.bbc.com/culture/article/20210811-marimekko-the-nordic-look-that-defined-freedom-and-joy
https://nuvomagazine.com/magazine/summer-2018/the-spirit-of-marimekko
