การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization กำลังเป็นเทคนิคที่นักการตลาดทุกคนต่างให้ความสนใจ และการหาคีย์เวิร์ด (Keywords) ก็เป็นกุญแจสำคัญของการทำ SEO เพราะคีย์เวิร์ดหรือคำค้นหาที่ดีจะเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้คนสามารถค้นหาคุณเจอ สร้าง Traffic เข้าสู่เว็บไซต์ของคุณโดยที่ไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อ และยังเพิ่มโอกาสสร้างรายได้อีกด้วย ดังนั้น เพื่อให้การค้นหาคำคีย์เวิร์ดที่ดีมีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจแล้วจะมีเทคนิคหรือวิธีการเช่นไรบ้าง มาติดตามดูกัน
วิธีในการค้นหา ‘คีย์เวิร์ด’
วิธีในการค้นหา อันนี้มีหลายวิธีที่จะทําด้วยตนเองหรือใช้เครื่องมือค้นหาคำหลัก เช่นหาจาก Keyword Tool (เครื่องมือคําหลัก) ก็ได้ แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีใดมีขั้นตอนสําคัญหลายประการที่คุณต้องดําเนินการ ตั้งแต่การสรุปเป้าหมายของคุณ ไปจนถึงการดำเนินการตามแผนคีย์เวิร์ด ด้านล่างคือคำแนะนำดีๆ ที่จะช่วยทำให้การค้นหาคีย์เวิร์ดของคุณง่ายขึ้น
1. ศึกษาความ Niche ในตัวคุณ
ก่อนที่คุณจะทราบว่าคีย์เวิร์ดที่ดีที่สุดในการเพิ่มประสิทธิภาพหน้าเว็บของคุณคืออะไร คุณควรเริ่มต้นด้วยการเรียนรู้เพิ่มเติมให้ลึกซึ้งเกี่ยวกับหัวข้อหรือความ Niche ที่แตกต่างของคุณด้วย เพราะมันสามารถให้แนวคิดนอกกรอบและช่วยค้นพบมุมใหม่และสร้างกลยุทธ์การตลาดและ SEO ที่คุณไม่คาดคิดมาก่อนได้
ลองดูตามไอเดียด้านล่างนี้เพื่อค้นหาความเป็น Niche ในตัวคุณ
- พูดคุยกับลูกค้าปัจจุบันและทําความรู้จักกับลูกค้าให้ดีขึ้น ค้นหาข้อกําหนดที่พวกเขาใช้เมื่ออธิบายแบรนด์ บริษัท ผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ
- พยายามคิดจากมุมมองของผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าของคุณ (potential customers) หากคุณแบ่งปันข้อเสนอของแบรนด์ให้เพื่อนคุณจะพูดถึงมันอย่างไร?
- มีส่วนร่วมในหัวข้อหรือชุมชนออนไลน์ของช่องเช่นฟอรัมและเครือข่ายโซเชียลมีเดีย อ่านการสนทนาและค้นหาจุดเจ็บปวดใด ๆ ที่กล่าวถึงเกี่ยวกับช่องของคุณ
สิ่งเหล่านี้เก็บเล็กผสมน้อยก็จะสามารถมองเห็นได้มากทีเดียว่าคุณอยู่ในความเชี่ยวชาญหรือกลุ่มความสนใจไหนเป็นพิเศษ
2.กําหนดเป้าหมายของคุณ
การทำทุกอย่างแน่นอนว่าต้องเริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายสุดท้ายที่จะไป แต่ก่อนที่จะไปถึงเป้าหมายสิ่งสำคัญคือคุณต้องถามคำถามตัวเองด้วยสิ่งเหล่านี้
- คุณเป็นใคร
- แบรนด์ของคุณเกี่ยวกับอะไร?
- อะไรทําให้คุณพิเศษ?
- เว็บไซต์ของคุณเกี่ยวกับอะไร
- สิ่งที่คุณให้คำสัญญาอะไรบนเว็บไซต์ของคุณ?
เมื่อคุณตอบคําถามเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว คุณต้องระบุภารกิจของแบรนด์ คุณต้องการเพิ่มจํานวนสมาชิกหรือไม่?หรือคุณมีเป้าหมายการขายภายในวันที่กําหนดหรือไม่?
สิ่งสําคัญคือการกําหนดเป้าหมายของคุณเพราะมันจะเป็นทิศทางสําหรับกลยุทธ์และแผน SEO ด้วย คำคีย์เวิร์ดที่คุณจะใช้ในที่สุดควรสอดคล้องกับเป้าหมายของคุณ โดยแบ่งเป็นช่องทางการตลาด เนื้อหาที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ เป้าหมายจะเป็นตัวบ่งชี้วัตถุประสงค์ของการเขียนคําโฆษณา SEO และเนื้อหาของคุณได้ชัดเจนที่สุด ดังนั้นการกำหนดเป้าหมาย หรือแม้แต่การวาดแผนภูมิความสำเร็จ สิ่งเหล่านี้จะช่วยตีกรอบทิศทางที่จำเป็นของการสร้างสรรค์คอนเทนต์และกลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์ได้
3.ควรทํารายการหัวข้อที่เกี่ยวข้องการทำรายการหัวข้อที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นหมวดหมู่หลักของแบรนด์ของคุณ และเป้าหมายที่คุณมุ่งมั่นที่จะบรรลุ โดยแบ่งมันออกเป็นหัวข้อย่อยๆ ซึ่งจะต้องรีเลทกับแบรนด์ของคุณด้วย เพื่อให้เกิดการยจัดอันดับบน Google
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเป็นแบรนด์ FMCG ที่เชี่ยวชาญในการผลิตสินค้าประเภทการดูแลส่วนบุคคลของผู้ชาย หัวข้อที่เกี่ยวข้องก็อาจจะเป็น การล้างหน้าของผู้ชาย, การระงับกลิ่นกาย, หรือปัญหาผมร่วงหัวล้าน เป็นต้น สำคัญคือ ต้องนึกถึงว่าหัวข้อประเภทใดที่กลุ่มเป้าหมายของคุณจะค้นหาใน Google จากนั้นกลุ่มหัวข้อเหล่านี้สามารถแบ่งย่อยเป็นคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเหล่านั้นได้อย่างไร
4.สร้างรายการคําผ่านเมล็ดพันธุ์คำคีย์เวิร์ด
หลังจากที่คุณแยกหมวดหมู่หัวข้อหลักออกเป็นหัวข้อย่อยต่างๆ แล้ว คุณก็ต้องเริ่มสร้างรายการของเมล็ดพันธุ์คำคีย์เวิร์ด (seed keywords)ได้แล้ว เมล็ดพันธุ์คำคีย์เวิร์ด ก็คือสิ่งที่สื่อถึงการที่คุณจะแตกหน่อออกผลมาเป็นคำค้นหาที่ผู้อ่านกลุ่มเป้าหมายของคุณใช้ในการค้นหาบน Google นั่นเอง
เมล็ดพันธุ์คำคีย์เวิร์ด จะโฟกัสไปที่คีย์เวิร์ดที่สำคัญซึ่งจะกลายมาเป็นรากฐานของการค้นหาคีย์เวิร์ดในคอนเทนต์ของคุณ โดยจะเป็นการกำหนดความ Niche ของคุณหรือระบุตัวต้นของคู่แข่งคุณก็ได้
5.กำหนด Long tail keywords
Long Tail Keywords คือ คีย์เวิร์ดหรือคำค้นหาที่มีความเฉพาะเจาะจงสูง ด้วยการเติมคำต่อท้ายคีย์เวิร์ดหลักที่มีความหมายกว้าง (seed keywords) เข้าไปอีกให้เป็นหางยาวๆ ที่มีความหมายเฉพาะเจาะจงเพิ่มมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น คำว่า “ถุงมือ” เป็น seed keywords ซึ่งอาจจะสื่อไม่ชัดเจนว่าเป็นถุงมือแบบไหน อาจจะเป็นถุงมือกันความเย็น หรือถุงมือทางการแพทย์ หรือถึงมือในการประกอบอาหาร ก็ได้ ดังนั้น เราจึงต้องเพิ่มคำคีย์เวิร์ดเข้ามาเป็น “ถุงมือ กันหนาว” ซึ่งก็จะแคบลงมาอีก หรือจะให้แคบลงลึกไปอีกเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการเป๊ะๆ ก็อาจจะเป็น “ถุงมือ กันหนาว ไหมพรม กรุงเทพ ราคา” เป็น Long Tail Keyword ที่มีส่วนขยายเพิ่มขึ้นจากในข้อแรกหลายประการ ทั้งวัตถุประสงค์ของสินค้า ลักษณะการใช้งานเฉพาะที่ต้องการ พื้นที่ และราคาเนื่องจากมีความต้องการซื้อ
อย่างไรก็ตาม Long tail keywords มักจะได้รับการคลิกน้อยลงก็จริง (เพราะมันเฉพาะเจาะจงแคบลง) แต่เนื่องจากมุ่งเน้นไปที่หัวข้อหรือผลิตภัณฑ์เฉพาะ ดังนั้น มันจึงได้รับ conversion rate ที่สูงกว่า
6.ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับคู่แข่งเพื่อหาช่องว่างแห่งโอกาส
แค่ทำการค้นหาคียเวิร์ดคำหลักใน Google ที่เกี่ยวกับแบรนด์ของคุณยังไม่พอ คุณต้องรู้ด้วยว่าคู่แข่งคุณนั้นกำลังทำอะไรอยู่ เพราะยิ่งคุณรู้และเข้าใจในแลนด์สเคปของคอนเทนต์ในธุรกิจของตัวเองเท่าไหร่ก็เป็นเรื่องดีต่อ SEO ของคุณมากขึ้นเท่านั้น
การทําความเข้าใจความสามารถในการแข่งขันของคีย์เวิร์ดที่แตกต่างกันจะช่วยให้คุณระบุคําค้นหาที่อาจยากเกินไปที่จะจัดอันดับ แต่ที่สําคัญที่สุดคุณจะสามารถค้นหาช่องว่างของโอกาสของคำคีย์เวิร์ดได้ โอกาสเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อคุณพบคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์หรืออุตสาหกรรมของคุณที่มีระดับการแข่งขันต่ำถึงปานกลาง ซึ่งปัจจุบันก็มีแพล็ตฟอร์มเทคโนโลยีในการช่วยเหลือค้นหาคำคีย์เวิร์ดของคู่แข่งหรือแก็บโอกาสคีย์เวิร์ดตรงนี้ได้ด้วย
และคำแนะนำทั้งหมดนี้ จะช่วยให้คุณมีข้อมูลเชิงลึกเพียงพอที่จะสร้างเนื้อหาและกลยุทธ์ SEO ที่ดี นอกจากนี้คุณยังจะได้รับข้อมูลที่เพียงพอสําหรับการเขียนคําโฆษณาเพื่อ SEO อีกด้วย ไม่ว่าคุณจะใช้บล็อกที่เน้นเนื้อหาธุรกิจขนาดเล็กหรือนักการตลาดที่ปั้นแบรนด์ แม้ว่าการทำรีเสิร์ชเรื่องคียเวิร์ดอาจเป็นงานที่น่าเบื่อและใช้เวลานาน แต่ถ้าเราใส่ใจและให้เวลากับมันดีพอ จะช่วยสร้างประสิทธิภาพให้กับคอนเทนต์และแคมเปญของเราได้อย่างไม่น่าเชื่อเลย.