หลังจากที่ตัดสินใจว่าจะเริ่มทำการตลาดออนไลน์บน Search Engine อย่าง Google แล้ว คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในใจของนักธุรกิจส่วนใหญ่ คือ ควรจะเลือกลงทุนโปรโมตสินค้าและบริการแบบไหนดีนะ ระหว่าง SEM กับ SEO และการที่คุณกำลังอ่านบทความนี้อยู่นั่นอาจหมายความว่า คุณเองก็กำลังมองหาวิธีที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณอยู่เหมือนกันใช่ไหมล่ะ
เพื่อไขข้อข้องใจในเรื่องนี้ เราไปค้นคว้าหาข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัลของต่างประเทศมาหลายแห่ง และทุกที่ให้คำตอบเหมือนกันหมดว่า “เลือกไม่ได้” และ “ไม่ควรเลือก” ด้วย เพราะว่า SEO และ SEM นั้นมีฟังก์ชันและวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่แตกต่างกัน ธุรกิจควรนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับแผนการตลาดในแต่ละช่วงเวลา ถ้าเช่นนั้นเรามาดูสรุปเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของสองสิ่งนี้กันดีกว่าทั้งในด้านภาพรวมและฟีเจอร์หลักในการใช้งานจะได้เข้าใจอย่างแจ่มชัดและนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รูปภาพ: ตัวอย่างการทำตลาดแบบ SEM และ SEO ที่ปรากฏในหน้า SERP
ภาพรวม
SEM
- SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing
- SEM = Paid Search = ต้องจ่ายค่าบริการให้กับแพลตฟอร์ม
- SEM คือ การจ่ายเงินเพื่อให้ธุรกิจได้ไปปรากฏอยู่ในพื้นที่ด้านบนของหน้าผลการค้นหาในคีย์เวิร์ดที่ต้องการ ซึ่งในการซื้อพื้นที่โฆษณาแบบนี้ เรามักได้ยินกันบ่อย ๆ ว่าทางเสิร์ชเอนจินจะเรียกเก็บค่าบริการแบบ Pay
- Per Click (PPC) หรือ Cost Per Click (CPC) หรือแบบอื่น ๆ ตามแต่ตกลงกัน
- SEM เห็นผลอย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับสร้าง Traffic เรียกคนเข้าเว็บแบบเร่งด่วน แต่เมื่อหยุดจ่ายเงินก็ไม่มีคนมาเห็นทันทีเช่นกัน
- SEM เหมาะสำหรับคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูงมาก เพราะทำให้ไปอยู่ในอันดับที่สูงกว่าคู่แข่ง เพิ่มโอกาสในการมองเห็นให้กับธุรกิจ
- SEM มีประโยชน์ในการทำการตลาดแบบ Retargeting เพื่อติดตามกลุ่มเป้าหมายที่เคยเข้ามาดูสินค้าแต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ เพราะกูเกิลจะส่งโฆษณาไปนำเสนอสินค้าให้กับคนกลุ่มนี้ต่อไปเรื่อย ๆ
- ในการทำ SEM ธุรกิจจำเป็นต้องวางแผนการใช้งบประมาณให้ดีเพื่อไม่ให้มีต้นทุนที่สูงเกินไป
- ในการทำ SEM ธุรกิจจำเป็นต้องมีการสร้างหรือปรับหน้า Landing Page ให้เอื้อต่อการขายด้วย
SEO
- SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization
- SEO = Organic Search = ไม่ต้องจ่ายค่าบริการให้กับแพลตฟอร์ม
- SEO คือกลยุทธ์ที่ใช้ในการปรับแต่งเว็บไซต์ของธุรกิจให้สอดคล้องกับอัลกอริธึมของเสิร์ชเอนจิน เพื่อให้เว็บไซต์ไปปรากฏอยู่ในอันดับต้น ๆ ของหน้าผลการค้นหาในคีย์เวิร์ดที่ต้องการ อันดับที่อยู่ในหน้าแรกของ
- SERP นี้ส่งผลดีต่อธุรกิจหลายอย่าง เช่น เพิ่มความน่าเชื่อถือ สร้าง Traffic เพื่อดึงลูกค้าเข้าเว็บไซต์ และเพิ่มยอดขาย
- SEO ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-6 เดือนถึงจะเห็นผล และต้องค่อย ๆ ไต่อันดับ ยิ่งถ้าเป็นคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูงมากการทำ SEO เพียงอย่างเดียวอาจจะมีโอกาสขึ้นไปถึงอันดับบน ๆ ได้ยาก
- SEO ไม่ใช่งานที่ทำเพียงครั้งเดียวแล้วเสร็จสิ้น เพราะต้องมีการปรับปรุงเทคนิคตามอัลกอริธึมของเสิร์ชเอนจินที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
- ในระยะยาว SEO ให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้ดีกว่าการตลาดแบบ Search Engine Marketing
- SEO ให้ผลลัพธ์ยาวนานและเป็นเครื่องมือในการขายที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพทุกวันตลอดเวลาและไม่มีวันหยุดพัก
ฟีเจอร์หลักในการใช้งาน
SEM
การประมูลราคา (Bidding)
ใช้หลักการประมูลราคาในการจ่ายค่าบริการสำหรับคีย์เวิร์ดที่ต้องการ โดยผู้ลงโฆษณาจ่ายเงินตามจำนวนคลิกที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้น และตามหลักแล้วเสิร์ชเอนจินมักจะจัดตำแหน่งการเรียงอันดับโฆษณาในส่วนนี้ให้ตามราคาที่เสนอ
คะแนนคุณภาพ (Quality Score)
มีส่วนในการตัดสินอันดับของการแสดงโฆษณาด้วย คะแนนนี้คำนวณจาก Click Through Rate รวมถึงคุณภาพของหน้า Landing Page และคะแนนโดยรวมของบัญชี Google Ad ด้วย หลักการคือยิ่งมีคะแนนสูงก็ยิ่งได้ส่วนลดต่อคลิกมากขึ้น
ข้อความโฆษณา (Ad Copy)
ข้อความที่เนื้อหาดีจะมีอัตราการคลิก (CTR) สูง ทำให้ได้คะแนนคุณภาพ (Quality Score) สูงตามไปด้วยและทำให้มีราคาโฆษณาถูกลง
กลุ่มโฆษณาและการจัดการบัญชี (Ad Groups and Account Management)
เครื่องมือหลักในการจัดการข้อมูลสำหรับโฆษณา Google Ads
SEO
การปรับแต่งภายในเว็บไซต์ (On-Page SEO)
จำเป็นต้องมีการปรับแต่งเนื้อหาที่นำเสนอบนหน้าเว็บไซต์ รวมถึงการใส่คีย์เวิร์ดใน Title Tag, Meta Description และ URL
การปรับแต่งปัจจัยภายนอกเว็บไซต์ (Off-Page SEO)
การปรับแต่งที่ทำจากนอกเว็บไซต์เพื่อให้เสิร์ชเอนจินมองว่าเว็บเพจมีความสำคัญในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ด (Authority) และมีความน่าเชื่อถือ (Trust) การปรับแต่งนอกเว็บมักหมายถึงการทำ Backlinks หรือทำลิงก์จากเว็บเพจอื่นที่น่าเชื่อถือมายังเว็บเพจของธุรกิจ
การทำ SEO ในทางเทคนิค (Technical SEO)
หมายถึงการปรับแต่งทางเทคนิคที่ใช้กับโครงสร้างในการจัดการเว็บไซต์ เช่น Sitemap ความเร็วในการเข้าถึง และการปรับโค้ดต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้เสิร์ชเอนจินเข้ามาเก็บข้อมูลได้ง่ายขึ้น
ปฏิกิริยาตอบสนองจากผู้ใช้งานเว็บ (User Interaction)
ถ้าเพจมีอัตราการเข้าแล้วออกทันที (Bounce rate) สูง Google จะมองว่าเนื้อหาไม่มีประสิทธิภาพ เพราะการที่คนเข้ามาแล้วรีบออกเลยนั้นเกิดจากเว็บเพจมีเนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่พวกเขาค้นหา
สรุปประเด็นน่าคิด
เมื่อลองเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างทั้งหมดนี้แล้ว พอจะสรุปได้ว่า SEM เหมาะกับการนำไปใช้ในกรณีที่ธุรกิจมีงบประมาณให้กับการทำการตลาดออนไลน์อย่างต่อเนื่อง ต้องการเห็นผลอย่างรวดเร็ว และมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการทำโฆษณาและสามารถจัดการดูแลบัญชี Google Ads และหน้า Landing Page ให้ได้ หรือถ้าคุณเลือกทำ SEM กับคีย์เวิร์ดที่มีอัตราการแข่งขันในตลาดสูงมาก ๆ ธุรกิจของคุณก็จะได้เปรียบคู่แข่งไม่น้อย ซึ่งถือว่าคุ้มค่ากับราคาค่าคลิกที่ต้องจ่ายให้กับแพลตฟอร์ม ส่วน SEO เหมาะกับการการนำไปใช้ในกรณีที่ธุรกิจมีงบประมาณค่อนข้างจำกัด และคีย์เวิร์ดที่ต้องการทำนั้นสามารถไต่อันดับได้ตามธรรมชาติด้วยการใช้ประโยชน์จากคอนเทนต์ หรือในกรณีที่คุณมีทีมงานที่มีความสามารถในการเขียนคอนเทนต์และสร้างลิงก์มายังเว็บไซต์ของธุรกิจอยู่ในมืออยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม หากคุณมีการวางแผนล่วงหน้าในระยะยาวและจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสม ทั้ง SEM และ SEO ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ไปพร้อม ๆ กันได้ไม่ยากเลย ####
==============================
ข้อมูลจาก
https://www.digitalauthority.me/resources/seo-vs-sem/
https://backlinko.com/hub/seo/seo-vs-sem