ในโลกแห่งดิจิทัลที่ทุกคนสามารถเป็นใครหรืออะไรก็ได้เพราะมีเทคโนโลยีอย่าง AR และ VR ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิตของผู้คนมากขึ้น โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีมาผสมผสานในการพัฒนา Mobile App ที่สามารถทำให้ผู้คนเข้าถึงและใช้งานได้อย่างง่ายดายแค่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นี่จึงกลายเป็นโอกาสที่ธุรกิจจะได้ก้าวไปอีกขั้นกับการสร้างประสบการณ์การใช้งานบนโลกเสมือนที่ตื่นตาให้แก่ลูกค้าของตนเอง
AR และ VR คืออะไร
ก่อนอื่นต้องมาเริ่มรู้จักเทคโนโลยีของทั้ง AR และ VR กันก่อนว่ามีความโดดเด่นอย่างไรจนนักพัฒนา Mobile App ต่างหยิบมาใช้งานจนค่อยๆ กลายเป็นที่นิยม
Augmented Reality (AR)
เริ่มจากเทคโนโลยีที่คนในวงการต่างรู้จักกันดีอย่าง AR ซึ่งก็คือ เทคโนโลยีที่จะสร้างวัตถุสามมิติแบบจำลองขึ้นมาฉายบนโลกความเป็นจริง ผ่านการทำงานของระบบเซนเซอร์ที่จะตรวจจับลักษณะวัตถุจริง เสียง ผิวสัมผัส หรือแม้กระทั่งการรับกลิ่นสร้างออกมาเป็นภาพสามมิติตามข้อจำกัดต่างๆ ของระบบ Software ซึ่งผู้ใช้งานสามารถมองผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่รองรับเทคโนโลยีนี้อย่าง จอ Smartphone หรือ แว่นตาที่ถูกสร้างขึ้นมาเฉพาะการใช้งานร่วมกันกับ AR
Virtual Reality (VR)
ต่อมาเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่จะมาผสมผสานกันอย่าง VR ซึ่งเป็นการสร้างภาพสถานที่จำลองขึ้นมาบนโลกเสมือนจริง โดยผู้ใช้งานจะรู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในสถานที่หรือบรรยากาศแวดล้อมนั้นจริงๆ ผ่านการใช้อุปกรณ์เสริมที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเชื่อมต่อประสบการณ์การใช้งานให้สมจริงมากยิ่งขึ้น เช่น แว่นตา Smartphone หรือเครื่องสร้างระบบสั่น โดยส่วนมากมักจะเห็นได้ในอุตสาหกรรมเกมที่ผู้ผลิตได้พัฒนาอุปกรณ์หลายแบบขึ้นมาให้ผู้ใช้งานได้เข้าถึงโลกเสมือนจริงมากที่สุด
การผสมผสาน AR และ VR บน Mobile App
เมื่อวิวัฒนาการของเทคโนโลยีได้ถูกนำมาใช้งานกับธุรกิจทุกรูปแบบและผลักดันให้นักพัฒนา Mobile App นำ AR และ VR มาใช้นำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการในรูปแบบใหม่ให้แก่ผู้ใช้งานให้สามารถเข้าถึงง่าย สะดวก รวดเร็วและน่าสนใจ มาดูกันว่าจะผสมผสานนำเทคโนโลยีนี้มาใช้งานบนแอปพลิเคชันด้านใดได้บ้าง
1. ด้านการศึกษา
ด้านแรกที่นักพัฒนาให้ความสำคัญและสร้างความน่าสนใจได้เป็นอย่างดีก็คือ ด้านการศึกษา โดยสามารถนำ AR และ VR มาใช้สร้างสภาพแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้หรือการฝึกอบรมแบบสมจริงเพราะจะช่วยให้ผู้เรียนได้ทำการลงมือปฏิบัติจริง นอกจากนี้ยังเป็นการอำนวยความสะดวกให้ไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์การเรียนจริงจำนวนมากจึงทำให้สามารถลดต้นทุนลงไปได้ด้วย อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุระหว่างปฏิบัติ ยกตัวอย่าง กิจการการบิน ที่จะช่วยให้การอบรมสามารถทำได้หลายครั้งทุกเวลาโดยไม่เป็นการใช้ทรัพยากรที่มากเกินไป
2. ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์
ก่อนที่จะเริ่มผลิตสินค้าของแต่ละธุรกิจย่อมต้องสร้างต้นแบบขึ้นมาเพื่อปรับแก้หรือเพิ่มเติมรายละเอียดให้เห็นภาพรวมที่สมบูรณ์แบบที่สุด การนำเทคโนโลยี AR และ VR มาใช้สร้างภาพต้นแบบก็จะสามารถปรับแก้ได้อย่าง Real time โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบภาพสามมิติพร้อมใช้ VR สร้างสถานที่จำลองที่สมจริงขึ้นมาให้ได้เห็นว่าหากสินค้าอยู่ในสถานที่จริงแล้วจะสื่ออารมณ์ออกมาได้ตามความต้องการของธุรกิจหรือไม่ เช่น การออกแบบยานยนต์หรืออสังหาริมทรัพย์ ที่แบรนด์ต้องการสื่ออารมณ์ให้เห็นออกมาผ่านภาพว่าหากยานยนต์อยู่บนท้องถนนแล้วจะโดดเด่นกว่าแบรนด์คู่แข่งหรือน่าขับขี่มากแค่ไหน หรือสื่ออารมณ์น่าอยู่อาศัยของโครงสร้างบ้านที่สวยงามโอ่อ่าท่ามกลางสวนรอบบ้านจนผู้บริโภคต้องตัดสินใจจับจองอย่างแน่นอน
3. ด้านการขาย
ประสบการณ์การช้อปปิ้งของทุกคนจะเปลี่ยนไปเมื่อสามารถทดลองสินค้าได้ในรูปแบบออนไลน์หรือการที่คุณไม่ต้องไปร้านจริงๆ ก็สามารถตัดสินใจซื้อเฟอร์นิเจอร์ได้แค่ใช้แอปพลิเคชัน AR ที่เข้ามาช่วยให้การจับจ่ายใช้สอยของทุกคนจะสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องเสียเวลาไปเดินห้างสรรพสินค้าเลย เช่น การใช้แอปพลิเคชัน IKEA ฉายภาพจำลองสามมิติของเฟอร์นิเจอร์ผ่านหน้าจอ Smartphone ทำให้เห็นเฟอร์นิเจอร์มาอยู่ในสภาพแวดล้อมของบ้านคุณจริงๆ วิธีนี้จะยิ่งช่วยกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้นยิ่งกว่าการไปเดินเลือกซื้อเพราะคุณสามารถเห็นภาพรวมได้เลยว่าพอซื้อมาวางในบ้านแล้วจะเป็นอย่างไร
4. ด้านการตลาด
อีกหนึ่งกลยุทธ์ทางการตลาดที่จะเพิ่มความน่าสนใจเมื่อแบรนด์ต้องการสร้างกระแสให้กับสินค้าของแบรนด์ โดยเริ่มนำเทคโนโลยี AR และ VR มาร่วมสร้างแคมเปญโฆษณาให้กลุ่มเป้าหมายได้มีส่วนร่วมในสินค้าด้วย เช่น การสาธิตสินค้าผ่านการใช้งานอุปกรณ์เฉพาะ แคมเปญนั้นจึงกลายเป็นจุดสนใจและเกิดภาพจำของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี
5. ด้านการทำงาน
การทำงานในระยะไกลจะง่ายและเข้าถึงกันได้มากขึ้นไปอีก เพราะการใช้เทคโนโลยี VR ที่สามารถสร้างแวดล้อมให้การทำงานที่เสมือนจริง เช่น การประชุมพบปะคนในองค์กรที่ทุกคนสามารถพูดคุยกันในพื้นที่ดิจิทัลส่วนกลางได้ ลักษณะนี้จะเน้นสร้างเสริมความสัมพันธ์ของคนในองค์กรในยุคของการทำงานที่เปลี่ยนไปอย่างการ Work for home
6. ด้านสุขภาพ
พื้นฐานการใช้ชีวิตที่ดีของทุกคนก็คือเรื่องสุขภาพ จึงทำให้นักพัฒนา Mobile App เริ่มหันมาใช้เทคโนโลยี AR และ VR สร้างแอปพลิเคชันด้านสุขภาพและการแพทย์กันมากขึ้น ตั้งแต่การจำลองการผ่าตัดเพื่อวางแผนก่อนปฏิบัติจริงซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงและสามารถประเมินผลลัพธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปจนถึงสร้างระบบการฟื้นฟูบำบัดผู้ป่วยหลังผ่านการรักษาขั้นตอนหลัก เทคโนโลยีนี้ได้เข้ามาช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายและเกิดความน่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิม
7. ด้านการบำรุงรักษา
อีกด้านที่เทคโนโลยี AR และ VR สามารถเข้ามามีส่งเสริมให้เกิดประสิทธิภาพได้ก็คือ ด้านการบำรุงซ่อมแซม ที่จะเข้ามาอำนวยความสะดวกในการทำงานของช่างเทคนิคซึ่งจะสามารถให้คำแนะนำจากการวินิจฉัยปัญหาที่เกิดขึ้นจึงเกิดความแม่นยำ ช่วยย่นระยะเวลาในการทำงานและหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่จะทำให้เกิดปัญหาบานปลายไปอีก เช่น เครื่องจักรที่มีระบบการทำงานที่ซับซ้อน นอกจากนี้ยังช่วยลดต้นทุนการซ่อมแซมได้อีกด้วย
ข้อควรระวังในการใช้เทคโนโลยี AR และ VR
ถึงแม้ว่าเทคโนโลยี AR และ VR จะสามารถตอบโจทย์ความทันสมัยและความสะดวกรวดเร็วได้เป็นอย่างดี แต่ก่อนการนำมาใช้สร้าง Mobile App ไม่ว่าจะเพื่อส่งเสริมกิจกรรมด้านใดก็ตามควรจะต้องพิจารณาเงื่อนไขเฉพาะดังนี้อีกด้วย
- ต้นทุนสูง : ถึงแม้จะมีหลายธุรกิจที่เริ่มนำเทคโนโลยี AR และ VR มาใช้งาน แต่ด้วยต้นทุนการสร้างที่สูงจนบางทีก็อาจจะไม่คุ้มค่าสำหรับธุรกิจบางประเภท
- ข้อจำกัดทางเทคนิค : เทคโนโลยี AR และ VR ที่ยังมีการพัฒนาอยู่เรื่อยๆ จึงยังมีข้อจำกัดทางเทคนิคบางอย่างที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้จึงควรศึกษาให้ดีก่อนจะลงมือทำ
- ความรู้ความเข้าใจ : กลุ่มเป้าหมายในบางธุรกิจอาจจะยังไม่สามารถเข้าใจการทำงานของเทคโนโลยี AR และ VR ที่มีความห่างไกลจากวิถีชีวิตของตน จึงไม่สามารถเข้าถึงการใช้งานได้อย่างเต็มที่
- ความปลอดภัยของข้อมูล : องค์กรที่ใช้เทคโนโลยี AR และ VR เข้ามาใช้งานจะต้องวางระบบรักษาความปลอดภัยให้ดี เพราะผู้ใช้จำนวนมากจะมารวมตัวกันในแอปพลิเคชัน
สรุปอนาคตของ AR และ VR ใน Mobile App
ปัจจุบันเทคโนโลยี AR/VR ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทให้การสรรค์สร้างสิ่งใหม่ๆ ช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจมีความน่าสนใจที่ทำให้ผู้ใช้งานตื่นตาตื่นใจในความแปลกใหม่กว่าคู่แข่งอื่นในท้องตลาด จนกลายเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีบน Mobile App แต่การนำมาใช้งานก็ยังคงมีข้อจำกัดที่อาจจะไม่เหมาะกับธุรกิจบางประเภท จึงควรพิจารณาตามความต้องการใช้งานให้เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงการลงทุนที่สูญเปล่าของธุรกิจด้วย
FAQ เกี่ยวกับ AR และ VR
Mobile App ประเภทไหนเหมาะกับการผสมผสานของ AR และ VR?
มีอยู่หลายประเภทที่เหมาะกับการใช้เทคโนโลยีนี้ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเกม ที่ผู้ใช้งานมีการโต้ตอบและสามารถเข้าร่วมใช้งานได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ด้านการท่องเที่ยวที่จะช่วยให้เห็นสภาพแวดล้อมของสถานที่ท่องเที่ยวได้อย่างสมจริง ด้านความบันเทิงอย่างการร่วมคอนเสิร์ตแบบเสมือนจริงที่เกินจริงจนเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศได้อย่างสุดเหวี่ยง นอกจากนี้ยังมีอีกหลายประเภทซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมที่สุด
เทคโนโลยี AR/VR จะสร้างรายได้อย่างไร?
ตามที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ชัดเจนในด้านการขายด้วยประสบการณ์การซื้อของออนไลน์รูปแบบใหม่ที่เหมือนไปยืนเลือกอยู่หน้าร้านหรือเคาน์เตอร์แบรนด์เพื่อลองสินค้า จึงทำให้การขายนั้นง่ายขึ้นสามารถสร้างยอดขายได้ทุกที่ทุกเวลา
ก่อนนำเทคโนโลยี AR/VR มาพัฒนา Mobile App ต้องเตรียมตัวอย่างไร?
สิ่งสำคัญที่สุดคือ จุดประสงค์ในการใช้งาน ทุกธุรกิจควรรู้ว่า AR/VR ทำอะไรได้บ้างและจะมาช่วยให้เป้าหมายของธุรกิจประสบความสำเร็จได้อย่างไร นอกจากนี้ยังต้องดูหลายปัจจัยร่วมด้วย เช่น กลุ่มเป้าหมาย ความพร้อมเรื่องฮาร์ดแวร์ แนวทางการออกแบบ Mobile App เพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าถึงได้ง่าย และข้อจำกัดอื่นๆ อีกเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ควรรู้ก่อนลงมือทำ
หากคุณคือเจ้าของธุรกิจที่สนใจสร้างแบรนด์ผ่านการสร้างแอปพลิเคชัน เพิ่มมูลค่า พาธุรกิจปัง Digimusketeers ขอแนะนำบริการ Mobile Application Development คิดค้นพัฒนาแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ทุกระบบปฏิบัติการ Android/ iOS ที่ตรงใจคุณ ออกแบบ UX/UI ดีไซน์สวยงามและเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน ปลอดภัยและได้มาตรฐานในทุกขั้นตอนการพัฒนาและใช้งาน พัฒนาแอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์แบรนด์ธุรกิจคุณ ติดต่อ 02-047-0088 หรือ แอดไลน์เพื่อปรึกษาเราฟรี
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องกับ แอปพลิเคชัน
