ในปัจจุบัน การตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์และเซเลบริตี้ กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างการรับรู้แบรนด์ และกระตุ้นยอดขายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดูเผินๆ แล้วทั้งสองกลยุทธ์นี้อาจดูคล้ายกัน แต่แท้จริงแล้วมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในแง่ของวิธีการเข้าถึงและการสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภคแล้ว “อินฟลูเอนเซอร์” หรือ “เซเลบริตี้” ดีกว่ากัน บทความนี้จะพาคุณไปเปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ ว่าใครเหมาะกับแคมเปญแบบไหน พร้อมข้อดีและข้อเสียเพื่อให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
เจาะลึกการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์
Influencer Marketing คือกลยุทธ์การตลาดที่ใช้บุคคลผู้มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์ หรือที่เรียกกันว่า อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญหรือมีความน่าสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ และมีผู้ติดตามที่เหนียวแน่นบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น Instagram, YouTube, TikTok หรือ Facebook
หัวใจหลักของการตลาดแบบ Influencer Marketing คือ “ความน่าเชื่อถือ” และ “ความสัมพันธ์ที่เหมือนเพื่อน” ผู้ติดตามมองว่า อินฟลูเอนเซอร์ คือผู้เชี่ยวชาญหรือเพื่อนที่สามารถให้คำแนะนำที่จริงใจได้ เมื่อ Influencer ที่พวกเขาชื่นชอบแนะนำสินค้าหรือบริการใดๆ ก็ตาม มันจึงเปรียบเสมือนการบอกต่อแบบปากต่อปาก (Word-of-Mouth) ในสเกลที่ใหญ่ขึ้น
อินฟลูเอนเซอร์ สามารถแบ่งได้หลายระดับตามจำนวนผู้ติดตาม ตั้งแต่ Nano-Influencer (1,000 – 10,000 ผู้ติดตาม) ไปจนถึง Mega-Influencer (มากกว่า 1 ล้านผู้ติดตาม) ซึ่งแต่ละระดับก็เหมาะกับวัตถุประสงค์และงบประมาณที่แตกต่างกันไป การเลือก อินฟลูเอนเซอร์ ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
- อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง : 5 เทคนิคการทำ Influencer Marketing ที่เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก
พลังของการตลาดผ่านเซเลบริตี้
การตลาดผ่านเซเลบริตี้ เป็นกลยุทธ์ที่แบรนด์ใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังในวงกว้าง เช่น ดารา นักร้อง หรือนักกีฬา มาเป็นพรีเซนเตอร์หรือผู้รับรองสินค้า กลยุทธ์นี้อาศัย “ชื่อเสียง” และ “ภาพลักษณ์” ของเซเลบริตี้ในการสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์ในระยะเวลาอันรวดเร็ว เมื่อผู้บริโภคเห็นเซเลบริตี้ที่พวกเขาชื่นชมใช้สินค้าของแบรนด์ จะเกิดการเชื่อมโยงภาพลักษณ์ที่ดีของเซเลบริตี้คนนั้นเข้ากับตัวแบรนด์ทันที ทำให้แบรนด์ดูน่าเชื่อถือและเป็นที่น่าจดจำในวงกว้าง เหมาะสำหรับแคมเปญที่ต้องการสร้าง Mass Awareness หรือเปิดตัวสินค้าใหม่ให้เป็นที่รู้จักทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริโภคกับเซเลบริตี้มักจะเป็นในลักษณะของการชื่นชม มากกว่าความสัมพันธ์ส่วนตัว ผู้บริโภคส่วนใหญ่ทราบดีว่าเซเลบริตี้ได้รับค่าตอบแทนในการโปรโมทสินค้า ซึ่งอาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือในแง่ของความจริงใจได้บ้าง
อินฟลูเอนเซอร์ VS เซเลบริตี้ มีข้อดี-ข้อเสีย ต่างกันอย่างไร?
เมื่อพูดถึงการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์และเซเลบริตี้ หลายแบรนด์อาจลังเลว่าจะเลือกใครมาช่วยโปรโมตดี เพราะทั้งสองกลยุทธ์ต่างก็มีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป มาดูกันแบบชัดๆ เลยว่าแต่ละฝ่ายมีจุดแข็งและจุดอ่อนอย่างไรบ้าง
อินฟลูเอนเซอร์
ข้อดี
- เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง : อินฟลูเอนเซอร์มักจะมีผู้ติดตามที่สนใจเรื่องเฉพาะ เช่น บิวตี้ แฟชั่น อาหาร เทคโนโลยี ทำให้การสื่อสารตรงกลุ่มเป้าหมาย และสร้างโอกาสในการขายได้มากขึ้น
- สร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด : อินฟลูเอนเซอร์มัก0tพูดคุยกับผู้ติดตามอย่างเป็นกันเอง ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนเพื่อนแนะนำสินค้า ซึ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือและโอกาสที่ผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อ
- ครีเอทีฟและยืดหยุ่น : อินฟลูเอนเซอร์แต่ละคนมีสไตล์การเล่าเรื่องที่แตกต่าง ทำให้แบรนด์สามารถนำเสนอสินค้าในรูปแบบที่น่าสนใจ แปลกใหม่ และเข้าถึงง่าย
- ต้นทุนที่หลากหลาย : อินฟลูเอนเซอร์มีหลายระดับ ตั้งแต่ไมโครอินฟลูเอนเซอร์ไปจนถึงระดับท็อป แบรนด์จึงสามารถเลือกใช้งบประมาณที่เหมาะสมได้
ข้อเสีย
- การเข้าถึงที่จำกัด : หากเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามไม่มาก อาจทำให้แคมเปญไม่เกิดการรับรู้ในวงกว้าง
- ความเสี่ยงเรื่องภาพลักษณ์ : หากอินฟลูเอนเซอร์ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อแบรนด์ได้
เซเลบริตี้
ข้อดี
- การเข้าถึงวงกว้างและรวดเร็ว : เซเลบริตี้มีชื่อเสียงและฐานแฟนคลับจำนวนมาก ทำให้สามารถสร้าง Brand Awareness ในระดับมหาชนได้อย่างรวดเร็ว
- เสริมภาพลักษณ์แบรนด์ : การใช้เซเลบริตี้ที่มีภาพลักษณ์ดีจะช่วยยกระดับแบรนด์ให้ดูหรูหรา มีคุณภาพ และน่าเชื่อถือมากขึ้น
- ความทรงพลังในการจดจำ : ชื่อเสียงและหน้าตาของเซเลบริตี้ทำให้แคมเปญโดดเด่นและถูกจดจำได้ง่าย
ข้อเสีย
- ต้นทุนที่สูง : ค่าตัวเซเลบริตี้มีราคาสูงมาก ซึ่งอาจไม่เหมาะกับแบรนด์ที่มีงบประมาณจำกัด
- ความห่างไกลจากผู้บริโภค : แม้เซเลบริตี้จะสร้างการรับรู้ได้กว้าง แต่การสื่อสารอาจดูห่างไกล และขาดความใกล้ชิดกับกลุ่มเป้าหมาย
- ความเสี่ยงเรื่องภาพลักษณ์ : หากเซเลบริตี้มีข่าวเชิงลบ ภาพลักษณ์ของแบรนด์อาจโดนผลกระทบไปด้วย
- อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง : Influencer กับ KOLs ต่างกันอย่างไร? เลือกอย่างไรให้เหมาะกับแบรนด์
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ อินฟลูเอนเซอร์ VS เซเลบริตี้
แบรนด์ขนาดเล็กหรือ SME ควรเลือกใช้ อินฟลูเอนเซอร์ หรือ เซเลบริตี้?
สำหรับแบรนด์ขนาดเล็กหรือ SME การเริ่มต้นด้วย Influencer Marketing โดยเฉพาะการร่วมงานกับ Nano และ Micro-Influencer ถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากใช้งบประมาณน้อยกว่า สามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ และได้รับความน่าเชื่อถือที่นำไปสู่ยอดขายได้จริง
การวัดผลความสำเร็จของแคมเปญ influencer marketing ทำได้อย่างไร?
สามารถวัดผลได้จากหลายตัวชี้วัด (KPIs) เช่น Reach (การเข้าถึง), Impressions (การมองเห็น), Engagement Rate (อัตราการมีส่วนร่วม เช่น ไลฟ์, คอมเมนต์, แชร์), Website Clicks (จำนวนคลิกเข้าสู่เว็บไซต์), และที่สำคัญที่สุดคือ Conversion Rate (อัตราการเกิดยอดขาย) หรือ ROI (ผลตอบแทนจากการลงทุน)
ค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์กับเซเลบริตี้ต่างกันไหม?
ต่างกันชัดเจน การใช้เซเลบริตี้จะมีต้นทุนที่สูงกว่า เนื่องจากค่าตัวและชื่อเสียงของคนดัง ส่วนอินฟลูเอนเซอร์มีความยืดหยุ่นกว่า เพราะสามารถเลือกขนาดและระดับของอินฟลูเอนเซอร์ได้ตามงบประมาณ
สรุปความแตกต่างระหว่างการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์และเซเลบริตี้
ทั้งการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์และเซเลบริตี้ ต่างก็เป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การเลือกใช้วิธีใดนั้น ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ทางการตลาดและเป้าหมายของแบรนด์เป็นหลัก จะช่วยให้แบรนด์สามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด ดังนั้น ควรเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดกับแคมเปญ พร้อมทั้งสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับผู้บริโภค เพื่อผลลัพธ์ที่คุ้มค่า และทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัลได้อย่างแท้จริง
Digimusketeers เราคือ One-Stop Digital Marketing Agency ที่ให้บริการด้านการตลาดออนไลน์ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น การวางกลยุทธ์การตลาด สร้าง Content Marketing วางแผนสื่อสาร ผลิตสื่อโฆษณาทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ การทำ SEO การออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ การจัดการอินฟลูเอนเซอร์ & KOLs Marketing โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ที่พร้อมใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนแคมเปญการตลาดให้ตอบโจทย์ทุกธุรกิจ
ให้ Digimusketeers ดูแลธุรกิจของคุณ ติดต่อ 02-047-0088 หรือ
ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
