IoT หรือ Internet of Things กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกของธุรกิจแบบพลิกโฉม ด้วยความสามารถในการเชื่อมโยงอุปกรณ์และระบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน IoT คืออะไร และมีประโยชน์อย่างไรในการเพิ่มประสิทธิภาพ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักเทคโนโลยีที่ทุกคนกำลังพูดถึง พร้อมทั้งวิธีการนำมาใช้ในธุรกิจของคุณ
IoT คืออะไร?
IoT คือการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกันผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น โทรศัพท์มือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรืออุปกรณ์ในโรงงาน IoT มีทั้งเซ็นเซอร์อัจฉริยะ กล้อง ระบบจัดการโลจิสติกส์ และอีกมากมาย อุปกรณ์เหล่านี้สามารถส่งข้อมูลถึงกัน และยังสามารถเรียนรู้พฤติกรรมเพื่อให้ตอบสนองได้อย่างชาญฉลาด
ยกตัวอย่างง่าย ๆ ถ้าคุณมี Mobile App ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เช่น การเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ หรือการตั้งค่าเครื่องปรับอากาศตามอุณหภูมิในห้อง นั่นแหละคือ IoT ที่อยู่ใกล้ตัวคุณ
- อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง : สำรวจอนาคตของ AR และ VR ใน Mobile App เทคโนโลยีล้ำในโลกดิจิทัล
ประโยชน์ของ IoT ในการเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ
IoT ถูกเอามาใช้ในธุรกิจมากมาย หลักๆมีด้วยกัน 3 ข้อดังนี้
1. การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
IoT มีบทบาทสำคัญในการยกระดับการผลิตให้มีคุณภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในโรงงานอุตสาหกรรม IoT สามารถช่วยตรวจสอบการทำงานของเครื่องจักรแบบเรียลไทม์ผ่านระบบเซ็นเซอร์อัจฉริยะ ซึ่งจะเก็บข้อมูลและแจ้งเตือนทันทีเมื่อพบปัญหา เช่น แรงดันที่ผิดปกติ หรืออุณหภูมิที่สูงเกินไป สิ่งนี้ช่วยลดความเสี่ยงที่เครื่องจักรจะเสียหายรุนแรง และยังลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงได้ด้วย
ตัวอย่างการใช้งานในสายการผลิต เช่น การใช้เซ็นเซอร์เพื่อตรวจจับความผิดปกติของสินค้าในสายพานผลิต หรือการใช้แขนกลอัตโนมัติที่ควบคุมโดย IoT เพื่อช่วยเพิ่มความเร็วและลดความผิดพลาดในกระบวนการผลิต
อุตสาหกรรมการเกษตร ก็ได้รับประโยชน์จาก IoT เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับความชื้นในดิน ที่ช่วยแจ้งเตือนเมื่อดินแห้งเกินไปและควรเพิ่มน้ำให้เพียงพอ หรือระบบควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือนปลูกพืช ซึ่งจะทำงานอัตโนมัติเพื่อให้เหมาะสมกับการเติบโตของพืชผล การนำ IoT มาใช้ในภาคเกษตรช่วยเพิ่มผลผลิต ลดการใช้ทรัพยากรเกินความจำเป็น และลดต้นทุนการดำเนินงานในระยะยาวได้อีกด้วย
2. การลดต้นทุน
IoT เป็นตัวช่วยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจลดต้นทุนได้ในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะในขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับพลังงานและการขนส่ง
- ระบบไฟอัจฉริยะ ในอาคารสำนักงาน หรือโรงงาน เช่น ไฟที่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวซึ่งจะเปิด-ปิดอัตโนมัติตามการใช้งานจริง ทำให้ลดการใช้พลังงานส่วนเกินได้อย่างมาก
- การจัดการยานพาหนะ IoT สามารถเชื่อมต่อกับระบบ GPS และเซ็นเซอร์ในยานพาหนะ เพื่อช่วยวางแผนเส้นทางที่สั้นที่สุดและลดการใช้น้ำมัน ตัวอย่างเช่น บริษัทโลจิสติกส์ที่ใช้ IoT เพื่อติดตามพัสดุแบบเรียลไทม์ จะสามารถลดเวลาที่เสียไปกับการจัดส่งล่าช้า และลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้
- ในคลังสินค้า การติดตั้งเซ็นเซอร์ IoT เพื่อตรวจสอบสินค้าคงคลังช่วยลดเวลาและแรงงานที่ต้องใช้ในการนับสินค้าด้วยตัวเอง นอกจากนี้ ระบบอัตโนมัติยังช่วยป้องกันปัญหาสินค้าขาดสต็อก หรือเกินความต้องการ ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยประหยัดทรัพยากรได้
3. การสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า
การนำ IoT มาใช้ในธุรกิจ ช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็วและตรงจุดมากขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดใน ร้านค้าปลีก คือการติดตั้งเซ็นเซอร์เพื่อตรวจจับพฤติกรรมการเดินเลือกซื้อสินค้าของลูกค้า เช่น สินค้าไหนที่ลูกค้าหยิบดูแต่ไม่ซื้อ หรือเส้นทางที่ลูกค้ามักเดินผ่านบ่อย ๆ ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงการจัดวางสินค้า หรือสร้างโปรโมชั่นให้ตรงใจลูกค้า
นอกจากนี้ IoT ยังช่วยปรับปรุงประสบการณ์ในโลกออนไลน์ เช่น ระบบ Chatbot ที่เชื่อมต่อกับ Mobile App เพื่อช่วยตอบคำถามที่พบบ่อยจากลูกค้าแบบเรียลไทม์ ระบบเหล่านี้สามารถเรียนรู้คำถามที่ซ้ำ ๆ และตอบกลับได้อย่างแม่นยำโดยไม่ต้องใช้เจ้าหน้าที่เป็นคนจริงๆเลยด้วยซ้ำ
ตัวอย่างที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ธุรกิจโรงแรมที่ใช้ IoT เช่น ระบบล็อกประตูอัจฉริยะที่ลูกค้าสามารถเปิดห้องพักได้ผ่านแอปพลิเคชัน หรือระบบเซ็นเซอร์ในห้องพักที่ช่วยปรับอุณหภูมิไฟและเครื่องปรับอากาศตามความชอบของลูกค้า
IoT มีอะไรบ้าง
ตัวอย่างการใช้งานที่น่าสนใจแล้วเริ่มเห็นกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันมีอะไรบ้าง
- บ้านอัจฉริยะ (Smart Home)
อุปกรณ์ IoT เช่น กล้องวงจรปิดอัจฉริยะ ระบบล็อกประตูด้วยมือถือ หรือเครื่องดูดฝุ่นที่ตั้งเวลาทำงานอัตโนมัติ ล้วนช่วยทำให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น - โลจิสติกส์และการขนส่ง
ระบบติดตามสินค้าแบบเรียลไทม์ช่วยลดความผิดพลาดในการจัดส่ง และยังสามารถควบคุมอุณหภูมิในตู้คอนเทนเนอร์สำหรับสินค้าที่ต้องการการเก็บรักษาพิเศษ - อุตสาหกรรมการผลิต
โรงงานที่ใช้ IoT สามารถติดตั้งเซ็นเซอร์เพื่อเฝ้าตรวจสอบเครื่องจักร และคาดการณ์การซ่อมบำรุงล่วงหน้าได้
- อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง : ทำความรู้จักกับ Cloud Computing เทคโนโลยีที่จะทำให้ธุรกิจของคุณเติบโต
IoT กับความปลอดภัย
แม้ว่า IoT จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจได้มาก แต่ก็มีอุปสรรคและที่ต้องคำนึงถึง เช่น
1. ความปลอดภัยของข้อมูล
หนึ่งในข้อกังวลหลักของการใช้ IoT คือ ความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากอุปกรณ์ IoT ต้องเชื่อมต่อกับเครือข่ายออนไลน์ตลอดเวลา ทำให้เกิดช่องโหว่สำหรับการโจมตีทางไซเบอร์ เช่น การแฮ็กข้อมูล หรือการโจมตีแบบ DDoS (Distributed Denial of Service)
ตัวอย่างของความเสี่ยง
- อุปกรณ์ IoT เช่น กล้องวงจรปิด หรือเซ็นเซอร์ในโรงงาน หากไม่มีการเข้ารหัสข้อมูล อาจถูกดักฟัง หรือโดนเจาะระบบเพื่อเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ
- ธุรกิจที่ใช้ IoT ในการจัดการข้อมูลลูกค้า อาจตกเป็นเป้าหมายของแฮ็กเกอร์ที่ต้องการข้อมูลส่วนบุคคล เช่น หมายเลขบัตรเครดิต หรือพฤติกรรมการซื้อ
การแก้ไขปัญหาต้องทำอย่างไร
- ใช้มาตรการรักษาความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัสข้อมูล (Data Encryption) และการใช้ระบบยืนยันตัวตนแบบหลายชั้น (Multi-factor Authentication)
- ตรวจสอบและอัปเดตเฟิร์มแวร์ของอุปกรณ์ IoT อย่างสม่ำเสมอ เพื่อปิดช่องโหว่ที่อาจเกิดขึ้น
2. การลงทุนที่สูง
การติดตั้งระบบ IoT สำหรับธุรกิจมักต้องใช้ต้นทุนสูงในระยะเริ่มต้น ทั้งในส่วนของอุปกรณ์ เช่น เซ็นเซอร์อัจฉริยะ, ระบบเครือข่าย, การจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ และการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เชื่อมโยงกับ Mobile App นอกจากนี้ยังต้องลงทุนในด้านการฝึกอบรมพนักงานเพื่อให้ใช้งานเทคโนโลยีใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น
- เซ็นเซอร์: อุปกรณ์ตรวจวัด เช่น เซ็นเซอร์จับการเคลื่อนไหวในโรงงาน อาจมีราคาหลายพันถึงหลักหมื่นบาทต่อชุด
- โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์: ค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บข้อมูลและประมวลผล เช่น การเช่าพื้นที่คลาวด์ หรือการจ้างผู้เชี่ยวชาญด้าน IT
- ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูล: การพัฒนาระบบวิเคราะห์ที่ซับซ้อน เช่น AI หรือ Machine Learning อาจต้องการงบประมาณและทีมงานเฉพาะ
แม้ว่า IoT จะช่วยลดต้นทุนในระยะยาว แต่ธุรกิจขนาดเล็ก หรือสตาร์ตอัปอาจพบว่าการลงทุนเบื้องต้นนี้มีค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไปก็ได้
3. การจัดการและการบำรุงรักษา
อุปกรณ์ IoT จำเป็นต้องมีการดูแลและบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นระบบที่พึ่งพาเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งอาจเสื่อมสภาพ หรือเกิดปัญหาหากไม่ได้รับการอัปเดตอย่างเหมาะสม
ตัวอย่างปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
- อุปกรณ์ IoT ที่ไม่ได้รับการอัปเดตซอฟต์แวร์ อาจเกิดความล่าช้าในการส่งข้อมูล หรืออาจหยุดทำงานไปเลย
- เซ็นเซอร์บางตัวอาจเสื่อมสภาพเมื่อใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูง หรือความชื้นมาก
- หากมีการเพิ่มอุปกรณ์ใหม่เข้าไปในระบบ อาจต้องใช้เวลาและทรัพยากรในการปรับแต่งเพื่อให้ทำงานร่วมกับอุปกรณ์เดิมได้
การแก้ไขปัญหาต้องทำอย่างไร
- วางแผนการบำรุงรักษาอุปกรณ์ IoT อย่างสม่ำเสมอ เช่น การตรวจสอบเซ็นเซอร์ การทำความสะอาดฮาร์ดแวร์ และการอัปเดตเฟิร์มแวร์
- ใช้ระบบ IoT ที่สามารถขยายและปรับตัวได้ (Scalable Systems) เพื่อให้สามารถเพิ่มอุปกรณ์ใหม่ได้โดยไม่กระทบกับระบบเดิม
สรุปเกี่ยวกับ IoT
IoT ไม่เพียงแต่เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจ ตั้งแต่การผลิตที่แม่นยำยิ่งขึ้น การลดต้นทุน ไปจนถึงการปรับปรุงประสบการณ์ให้ลูกค้า อย่างไรก็ตาม ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยี IoT จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย
FAQ เกี่ยวกับ IoT ในธุรกิจ
การนำ IoT มาใช้ในธุรกิจมีความปลอดภัยแค่ไหน?
- IoT มีความปลอดภัยหากธุรกิจลงทุนในมาตรการรักษาความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัสข้อมูล และการอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ
ธุรกิจขนาดเล็กสามารถนำ IoT มาใช้ได้หรือไม่?
- ได้แน่นอน IoT ไม่ได้มีประโยชน์แค่กับธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ยังเหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก เช่น การใช้ระบบไฟอัจฉริยะเพื่อลดค่าไฟ หรือการติดตั้งเซ็นเซอร์ในร้านอาหารเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิของเครื่องทำความเย็น
IoT ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าในธุรกิจค้าปลีกได้อย่างไร?
ในธุรกิจค้าปลีก IoT ช่วยให้ร้านค้าสามารถใช้เซ็นเซอร์ติดตามพฤติกรรมของลูกค้า เช่น การเลือกสินค้าหรือเส้นทางการเดินในร้านค้า เพื่อนำข้อมูลมาปรับโปรโมชั่นให้ตรงกับความสนใจ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลัง
หากคุณคือเจ้าของธุรกิจที่สนใจสร้างแบรนด์ผ่านการสร้างแอปพลิเคชัน เพิ่มมูลค่า พาธุรกิจปัง Digimusketeers ขอแนะนำบริการ Mobile Application Development คิดค้นพัฒนาแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ทุกระบบปฏิบัติการ Android/ iOS ที่ตรงใจคุณ ออกแบบ UX/UI ดีไซน์สวยงามและเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน ปลอดภัยและได้มาตรฐานในทุกขั้นตอนการพัฒนาและใช้งาน พัฒนาแอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์แบรนด์ธุรกิจคุณ ติดต่อ 02-047-0088 หรือ แอดไลน์เพื่อปรึกษาเราฟรี