เคยเป็นไหม ไม่ว่าอะไรจะออกใหม่ ที่ไหนเปิดให้บริการเป็นวันแรก หรือเป็นสิ่งที่ใน social กล่าวถึง เรามักจะอยากเป็นหนึ่งในคนนั้นที่ได้ไปสัมผัส เราเรียกสิ่งนี้ว่า FOMO Marketing เทรนด์การตลาดที่ใช้ความรู้สึก “กลัวพลาด” สิ่งที่สำคัญเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อหรือเข้าร่วมกิจกรรมอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ บทความนี้ เลยจะมาพูดถึง FOMO คืออะไร เวิร์คไหมหากจะนำมาใช้ในธุรกิจของคุณ
FOMO คืออะไร?
FOMO (Fear of Missing Out) หรือ ความกลัวการพลาด ซึ่งพบได้บ่อยในสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสื่อสังคมออนไลน์ในปัจจุบัน ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเรา ความรู้สึกกลัวว่าจะพลาดช่วงเวลาดี ๆ เหตุการณ์สนุก ๆ และก็อยากจะติดตามทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัวตลอดเวลา
นี่จึงเป็นที่มาของเทรนด์ FOMO Marketing หรือ การตลาดที่เล่นกับความกลัวการพลาด เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่อาศัยหลักจิตวิทยาของมนุษย์ โดยเฉพาะความรู้สึกกลัวที่จะพลาดโอกาสดีๆ โปรโมชั่นดี ๆ หรือสิ่งที่น่าสนใจต่าง ๆ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อยในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
ตัวอย่างทั่วไปของการตลาดแบบ FOMO
ถ้าในประเทศไทย ยกตัวอย่าง ร้านน้ำปั่นเจ้าดัง ที่มีการขายเมนูซิกเนเจอร์ในราคาเกือบ 300 บาท ซึ่งผู้บริโภคแน่นอนว่านอกจากจะได้ลองชิมแล้ว เครื่องดื่มในแก้วสีสันสวยงามเหมาะแก่การโพสต์ภาพลง โซเชียลมีเดีย โดยในช่วงแรก ๆ ที่มีการเปิดขาย มีลูกค้าต่อแถวยาวมากเพื่อที่จะได้ลองเมนูซิกเนเจอร์นั้น หรือจะเป็นแบรนด์เสื้อผ้าเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ในจำนวนจำกัด และสร้างกระแสให้สินค้าขายหมดอย่างรวดเร็ว
ทำไมการตลาดแบบ FOMO ถึงทำแล้วเวิร์ค
เพราะการตลาดแบบ FOMO ใช้ประโยชน์จากกลไกทางจิตวิทยาที่ทรงพลังเพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อหรือเข้าร่วมกิจกรรมอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าต้องรีบทำตามเพื่อไม่ให้พลาดสิ่งดี ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 ปัจจัยหลัก คือ
1. ความต้องการเป็นส่วนหนึ่ง
หลายคนมีความต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของเทรนด์นั้น ๆ ความรู้สึกว่าเรากำลังพลาดบางสิ่งที่ผู้อื่นกำลังมีส่วนร่วม เช่น เทรนด์หรือประสบการณ์ที่กำลังเป็นที่นิยม กระตุ้นให้เราต้องการเข้าร่วมเพื่อไม่ให้รู้สึกว่าแยกตัวออกจากสังคม การตลาดแบบ FOMO ใช้ปัจจัยนี้ในการสร้างความรู้สึกให้กับผู้บริโภคว่าถ้าไม่รีบตัดสินใจจะพลาดโอกาสที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่คนอื่นๆ กำลังสนุกสนานหรือตื่นเต้นกับมัน
2. ความกลัวการตกเทรนด์
ในยุคที่ข้อมูลและสังคมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คนส่วนใหญ่มักจะกลัวการตกเทรนด์หรือล้าหลัง การตลาดแบบ FOMO สร้างความกดดันทางจิตใจให้กับผู้บริโภคว่าถ้าไม่รีบตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์หรือเข้าร่วมกิจกรรมตอนนี้ พวกเขาอาจพลาดสิ่งที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน เช่น แฟชั่น เทคโนโลยี หรือเหตุการณ์สำคัญ การกระตุ้นให้ลูกค้ารู้สึกว่าต้องทันกระแสหรืออยู่ในเทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้น จะทำให้พวกเขารู้สึกว่าการซื้อหรือเข้าร่วมเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าเดิม
3. ความต้องการความพิเศษ
ความรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการมีความพิเศษหรือมีจำนวนจำกัดทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าพวกเขาได้รับสิทธิพิเศษเหนือคนอื่น การตลาดแบบ FOMO เน้นการใช้กลยุทธ์ที่แสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์นั้นเป็นของหายากหรือจำกัดเวลาในการซื้อ ซึ่งทำให้ผู้บริโภคมีแรงกระตุ้นที่จะตัดสินใจทันที เพราะพวกเขากลัวว่าจะพลาดโอกาสที่จะได้รับสิ่งพิเศษนี้ไป ตัวอย่างเช่น การออกสินค้าที่มีจำนวนจำกัด (Limited Edition) หรือการลดราคาพิเศษในช่วงเวลาสั้นๆ ช่วยเพิ่มความรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์มีคุณค่ามากขึ้น
การตลาดแบบ FOMO สามารถเพิ่มความต้องการของผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดระยะเวลาที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อ ช่วยเพิ่มอัตราการเปลี่ยนแปลง (Conversion Rate) และลดการละทิ้งตะกร้าสินค้า (Abandoned Carts) ได้
ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์ FOMO Marketing
มาดูกลยุทธ์ FOMO Marketing ที่ได้รับความนิยม เนื่องจากสามารถกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้อย่างรวดเร็ว อาทิ
1. จำกัดเวลา (Limited Time Offer)
เช่น ลดราคาพิเศษเฉพาะวันนี้เท่านั้น หรือที่หลายแบรนด์นิยมใช้คือ การบอกว่าสินค้ามีจำนวนจำกัด เพื่อสร้างความเร่งด่วน
2. สินค้าจำนวนจำกัด (Limited Quantity)
- สินค้ารุ่นพิเศษ: บอกว่าเป็นสินค้ารุ่นลิมิเต็ด หรือผลิตมาจำนวนจำกัด
- สินค้าขายดี: บอกว่าสินค้ากำลังเป็นที่นิยมและอาจหมดเร็ว
- สินค้าใกล้หมด: บอกว่าสินค้าเหลือไม่มากแล้ว
3. รีวิวจากผู้ใช้จริง (Social Proof)
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้งานจริง ๆ หรือให้ Influencer มาแนะนำสินค้า ก็สามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย รวมถึง Case Study นำเสนอผลลัพธ์ที่ลูกค้าได้รับจากการใช้สินค้า ก็สามารถเป็นคอนเทนต์ที่ช่วงดึงดูดให้ผู้ซื้อสนใจสินค้า บริการนั้น ๆ มากขึ้น
4. ดีลส่งฟรี ในระยะเวลาจำกัด
รู้หรือไม่ การจัดโปรโมชั่นส่งฟรี ช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคอยากซื้อสินค้ามากขึ้น และซื้อต่อหนึ่งบิลมากขึ้นถึง 30%
5. สร้างความ FOMO ผ่านโซเชียลมีเดีย
สร้างความรู้สึกตื่นเต้นด้วยการไลฟ์สดเปิดตัวสินค้าใหม่ ซึ่งอาจจะให้ลูกค้ามีส่วนร่วมผ่านกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงการสร้าง Hashtag เพื่อให้ลูกค้าได้แชร์ประสบการณ์
เรียกได้ว่า FOMO Marketing เล่นกับความรู้สึกเหล่านี้ของเราได้อย่างชาญฉลาด ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าหากพลาดโอกาสนี้ไป จะทำให้ตัวเองรู้สึกขาดตกบกพร่องหรือไม่ทันสมัย ดังนั้น การสร้างความรู้สึกเร่งด่วน การจำกัดจำนวนสินค้า และการสร้างความพิเศษให้กับสินค้า จึงเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อ
แอดไลน์เพื่อปรึกษาเราฟรี
หากแบรนด์ของคุณต้องการสร้างตัวตนบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย Digimusketeers ขอแนะนำบริการ Social Media Management ดูแลจัดการโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม
บริการ Social Media Management ที่ Digimusketeers ดีอย่างไร ?
- ได้ผู้เชี่ยวชาญมาดูแล Social Media ทุกแพลตฟอร์มที่แบรนด์มี ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
- สามารถสื่อสารเนื้อหาไปยังช่องทางที่ถูกต้องในช่วงเวลาที่เหมาะสมและตรงกลุ่มเป้าหมาย
- ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับธุรกิจ ไม่ต้องให้พนักงานในองค์กรมาทำงานในส่วนนี้ เราทำแทนให้ได้
- สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าของแบรนด์ ผ่านการโต้ตอบใน inbox แต่ละช่องทาง
- เข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ และกระตุ้นให้เกิดยอดขาย
ให้เราดูแลเพจโซเชียลมีเดียอย่างครบวงจร ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี
อ่านบทความที่เกี่ยวกับ เทรนด์การตลาดที่เกี่ยวข้อง